ผมนำมาจากหนังสือธรรมนะครับ...ด้วยฤทธานุภาพแห่งองค์พระศรีอริยเมตไตรย์ ซึ่งได้เสวยสุขอยู่บนสวรรค์ได้เล็งเห็นความลำบากของมวลมนุษย์ทุกชาติ ทุกเผ่าพันธุ์จึงทรงแปลงกายเป็นมนุษย์และให้คำสอนไว้ดังนี้เพื่อการหลุดพ้นและไปยังสถานที่ธรรม
1.ให้ตั้งมั่นในศีล 5 ให้ครบถ้วนบริบูรณ์
2.รักใคร่เมตตาต่อสัตว์และเพื่อนมนุษย์
3.ผู้เป็นลูกจักต้องกตัญญูรู้คุณ และเชื่อฟังพ่อแม่ ถ้าไม่ทำตามจะมีกรรมและเห็นผลทันตา
4.ไม่พูดมาก พูดโกหก พูดจาไร้สาระ
5.รู้จักยับยั้งชั่งใจ
6.ทำใจให้สงบ คิดว่าควรปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นเสมอ
7.มีนิสัยเสียสละ ใจคอกว้างขวาง
8.รู้จักให้อภัย
9.เป็นคนมัธยัสถ์
10.การกินเนื้อสัตว์โดยผ่านการฆ่ามาแล้วเป็นบาป จะทำให้อายุสั้นและมีโรคภัยไข้เจ็บ
11.ให้หมั่นฟังเทศน์ ฟังธรรม
12.ประกอบอาชีพสุจริต ไม่เบียดเบียนใคร
13.ผู้ที่มีครอบครัวต้องรักกัน ไม่นอกใจกันและกัน
14.ทำสิ่งใดก็ตามต้องใช้ปัญญาไตร่ตรอง
15.คบเพื่อนต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริต
16.ไม่ใส่ร้ายป้ายสีใคร
ทำตามนี้ไม่ลงอบายภูมิแน่นอนครับ และอนาคตก็จะต้องได้ไปนิพพานฮะ
การหมกหมุ่นอยู่ในกาม

เต็มไปด้วยไฟแห่งราคะ เราจะทุกข์ทนไปกับการแสวงหาสิ่งที่จะมาตอบสนอง
ความต้องการของร่างกายและจิตใจ ไปอย่างไม่มีวันอิ่ม ไม่มีวันพอ
ซ้ำยังเป็น นิวรณ์ข้อหนึ่ง ซึ้งจะกางกั้น ไม่ให้ใจ เป็นสมาธิได้
จริงๆแล้ว คุณเลือกได้ครับ ถ้าตั้งใจว่าจะไม่ดูภาพลามก หรือ ไม่กระทำเพื่อบรรลุ
กิจกรรมทางเพศใดๆ มันก็เป็น ศีล ขึ้นมาในใจแล้วข้อนึง
(แต่จริงๆการเสพเมถุนธรรม หรือเหล่า ฆารวาสธรรมใดๆ เป็นเรื่องธรรมดา
ของมนุษย์ปถุชนครับ อันนี้เลือกเอาเองครับ ไม่มีความเห็น แล้วแต่จะทำ)
ศีล อีกข้อ ก็คือ มุสาวาท หรือ สัจจะ กับตัวเอง ก็จะมีขึ้นมาครับ
ในส่วนตัวผมเลือกที่จะสวนกระแสของโลก หรือ สวนกระแสความเห็นของสังคม
ก็คือ เลือกที่จะไม่มีคู่ ไม่มีความรัก ทั้งๆที่ยังตัดอะไรไม่ได้เลย และแรกๆก็ต้องฝืนทั้งสังคม
ที่มีข้อคิดเห็นต่างๆนาๆ ทั้งถูกประชดให้ไปบวชต่างหาก (จริงๆอย่าเอาการบวชมาเล่นนะครับ)
อีกอย่างคือ ความรัก ความต้องการในเพศตรงข้าม ยังมีเป็นปรกติ มันก็ทรมาน เป็นทุกข์
นะครับ เพราะเราจะเห็นว่า ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ตามนั้น ไม่ได้มองว่าเป็น อนัตตาเลย
ก็ทนๆทำไปน่ะครับ จมบ้าง พ้นน้ำบ้าง ทุกข์บ้าง สุขบ้าง ตามชีวิตที่สวนกระแส
แต่ มีอะไรๆ ที่พิเศษ เข้ามาใน ชิวิต มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แต่ ปัญญา กับสมาธิ
เราสามารถสัมผัส และรับรู้สิ่งที่ เกินกว่าสมมุติ จะมาอธิบายได้ครับ
กับสิ่งที่เราทำ ก็ได้รับสิ่งที่ เกินกว่า สิ่งทีเราละทิ้งมันออกไป สำหรับผมเอง เกินคุ้ม
จนวันนี้ ผมก็ยังปฏิบัติอยู่ และจะฝึกฝนตัวเองต่อไป ทั้ง สมถะ และวิปัสสนา
..........ไปตามที่ตั้งใจเอาไว้ ใครจะว่าอย่างไร ก็แล้วแต่ครับ ชิวิตใครก็เลือกเอาเอง
อนุโมทนาครับ
เวรกรรมมีจริงไม่ต้องชาติ (วางยาสุนัข)

ลุงเปี๊ยกแกเป็นคนที่ฐานะร่ำรวยมากบ้านแกอยู่ติดวัด แต่แกไม่ค่อยชอบสุนัขสักเท่าไร แกชอบใช้หนังสติกยิงไล่พวกมันอยู่ตลอด ครั้งหนึ่งแกเคยทะเลาะกับท่านเจ้าอาวาสเกี่ยวกับเรื่องหมาวัดมาขี้หน้าบ้านแก ถึงขนาดเอายางรถยนต์มาวางขวางทางไม่ให้พระบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านแก สาเหตุเพราะแกโมโหที่หมาวัดมาขี้หน้าบ้านแก ฝ่ายเจ้าอาวาสท่านก็ใจดีหาขวดมาใส่น้ำแล้วเอาไปตั้งเป็นแถวยาวถึงหน้าบ้านลุงเปี๊ยก ป้องกันไม่ให้หมามาขี้หน้าบ้านโยม พอลุงเปี๊ยกแกมาเห็นแกก็โวยวายใหญ่เลยหาว่าเจ้าอาวาสเอาขยะมาทิ้งหน้าบ้านแก ลุงเปี๊ยกแกเลยโมโหขึ้นมาใหญ่เลย พอตกกลางคืน แกเอาลูกชิ้นทอดคลุกกับยาเบื่อ แล้วไปโยนให้หมากิน พอรุ่งเช้ามา หมาในวัดทั้ง 26 ตัว ตายเกลี้ยง นอนอ้าปากน้ำหลายไหล บางตัวดูเหมือนว่าก่อนตายมีรอยดิ้นทุลนทุลายเป็นวงกว้างด้วย ชาวบ้านพอรู้ข่าวต่างก็สาปแช่งคิดว่าจะมีโจรมาลักของวัด แต่หารู้ไหมว่าเป็นฝีมือของลุกเปี๊ยกเอง พอผ่านมาปีกว่าๆ ลุงเปี๊ยกแกก็ล้มป่วยลงด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่คอระยะสุดท้ายไม่สามารถรักษาได้ แกน่าสงสารมากๆได้แต่นอนรอวันตาย ด้วยความที่แกปวดแกจะร้องดังมากร้องโอยๆอยู่ตลอดเวลา เวลาแกปวดจนทนไม่ไหวแกจะดิ้นไปดิ้นมาจนลูกเมียแกต้องจับแกมัดมือมัดขาไว้ไม่ให้แกดิ้นได้ แกทรมานอยู่อย่างนี้ถึง 8 เดือนเต็ม กินอะไรก็ไม่ได้ แกร้องบอกว่าเหมือนอาหารมันเข้าไปบาดคอ จนสุดท้ายแกให้เมียของแกไปนิมนต์ท่านเจ้าอาวาสมา แล้วสารภาพเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง ท่านก็กล่าวอโหสิกรรมแทนให้กับหมาที่ถูกวางยา แล้วแกก็ขาดใจเสียชีวิต ในโลกแห่งความเป็นจริงของมนุษย์แกคงได้ชดใช้ให้กับ 26 ชีวิตที่แกวางยาแล้ว แต่ในโลกของวิญญาณ แกคงกำลังชดใช้อยู่ สาธุ
นับว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ผมอยากจะนำมาเล่าให้ทุกคนฟัง
ว่ากรรมใดใครก่อ ผู้นั้นย่อมเป็นผู้รับ
ไม่มีสิ่งใดจะมาทดแทนกันได้นอกจากความเมตตาต่อกัน
นนท์
(องค์ชายสาม)
ว่ากรรมใดใครก่อ ผู้นั้นย่อมเป็นผู้รับ
ไม่มีสิ่งใดจะมาทดแทนกันได้นอกจากความเมตตาต่อกัน
นนท์
(องค์ชายสาม)
ผลกรรมของการทำบุญแล้วนึกเสียดายภายหลัง

อดีตชาติ จึงร่ำรวยมหาศาลกว่าใครในแผ่นดิน แต่เวลาตายไปกลับ
ไม่มีทายาทสืบสกุลเลย ทรัพย์สมบัติทั้งหมดต้องตกเป็นของหลวง
ซึ่งต้องใช้ทหารเป็นกองทัพขนเข้ามาเก็บไว้ในท้องพระคลัง ๗ วัน
จึงขนเสร็จ
ทำบาปอะไร จึงใช้ทรัพย์สมบัติของตนเองไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็น
อาหารการกิน ของใช้ เสื้อผ้าที่นุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยาน
พาหนะ
อาหารดีเลิศมากมายที่เป็นของดีเลศรสทั้งจากในเมืองและจากต่าง
เมือง แต่อาคันตุกะเศรษฐีก็กินไม่ได้เลย กินได้แต่ปลายข้าวกับน้ำ
ผักกาดดองเท่านั้น ผ้าเนื้อดีเยี่ยมที่มีอยู่ในเมืองและที่นำมาจากต่าง
เมืองก็มีมากมายมหาศาล แต่กลับเอามานุ่งห่มไม่ได้เลย ต้องนุ่งห่ม
ผ้าดิบที่แข็งกระด้าง เพราะมีอาการแพ้เป็นผื่นไม่สบายกาย
คฤหาสน์ใหญ่โตรโหฐาน ก็อยู่ไม่ได้ ต้องไปอยู่กระท่อมเล็กๆ มุง
ด้วยใบไม้ พาหนะอย่างหรูราคาแพงประดับด้วยอัญมณีผสมทองคำก็
นั่งไม่ได้ ฉัตรทองคำอย่างดีก็ใช้ไม่ได้
องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ตรัสตอบข้อสงสัยของพระราชาว่า "ขอ
ถวายพระพรมมหาบพิตร อาคันตุกะเศรษฐีได้ทำเหตุไว้ คือ ทำ
เหตุให้ได้ทรัพย์ ๑ และทำเหตุให้ไม่สามารถจะใช้ทรัพย์นั้นได้ ๑"
เหตุที่มีทรัพย์สมบัติมาก เพราะได้ถวายอาหารแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า
แต่ที่ไม่อาจใช้ทรัพย์ของตนได้ เพราะถวายไปแล้วนึดเสียดายภาย
หลัง
เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเสด็จมาถึงบ้าน ภรรยาเศรษฐีจึงถามอีกว่า
"พระคุณเจ้าได้อาหารหรือยัง"
พระปัจเจกพุทธเจ้าตอบว่า "ได้รับแล้วท่านมหาเศรษฐี"
มหาเศรษฐีจึงก้มไปดูอาหารในบาตร เห้นอาหารเต็มบาตรจึงเกิด
เสียดายขึ้นมาทันทีโดยคิดในใจว่า "อาหารมากมายขนาดนี้ ถ้า
เราให้ทาสหรือบริวารกินยังจะได้ประโยชน์ ได้แรงงานกลับคืนมา
เป็นกำไร แต่นี่ให้ไปโดยไม่ได้แรงงานกลับคืนมาเลยจึงเป็นการ
เสียเปล่า ไม่น่าให้เลย " จากนั้นก็ลากลับบ้านไป
ใส่ร้ายคนดี ได้รับโทษทันตา

พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี พระโกกาลิกริษยาพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ได้ทูลพระพุทธเจ้า ให้ร้ายพระมหาเถระทั้งสอง พระพุทธเจ้าทรงตรัสห้ามถึง 3 ครั้ง ก็ไม่ฟัง ได้รับอกุศลกรรมสนองทันตากล่าวคือ ได้เกิดฝีหัวใหญ่ขึ้นทั่วตัว ฝีแตก น้ำเหลืองไหล ได้รับทุกข์เวทนาแสนสาหัส จนขาดใจตาย ไปเกิดในนรกอเวจี เขตปทุมนรก ได้รับทุกขเวทนาเหลือประมาณ
พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดงโทษ แห่งการใส่ร้าย(ป้ายสี) ผู้ทำความดี เพื่อเป็นเครื่องสังวรของชาวพุทธ ไว้ดังนี้
- คนพาลเมื่อพูดคำชั่วร้ายออกไป ย่อมได้ชื่อว่า ฆ่าตัวเองด้วยอาวุธ
- ผู้ใดสรรเสริญผู้ที่ควรถูกตำหนิ หรือติ ผู้ที่ควรได้รับการสรรเสริญ ผู้นั้นชื่อว่า สะสมความชั่วด้วยปาก เขาย่อมไม่ได้รับความสุข
- ความพินาศแห่งทรัพย์สินเพราะการพนันก็ดี พินาศด้วยสิ่งของทั้งหมดก็ดี พินาศพร้อมด้วยตนเองก็ดี ยังนับว่ามีโทษเพียงเล็กน้อย ส่วนบุคคลใด ทำจิตคิดร้ายในท่านผู้ทำความดีทั้งหลาย มีโทษยิ่งใหญ่กว่ามาก
- ผู้พูดจาด้วยจิตอันลามก ชอบติเตียนพระอริยเจ้า บุคคลนั้นย่อมเข้าถึงนรก
โกกาลิกสูตร 15 / 209
Credit:http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2257197
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)