แม่น้ำสายต่างๆ ในชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล



แม่น้ำสายต่างๆ ในชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล ที่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า และถูกบันทึกลงในพระพุทธประวัติ ที่นำมาประมวลไว้ ณ ที่นี้มีดังนี้ 

๑. กิมิกาฬา พระมหาสาวกเมฆิยะ ผู้เคยเป็นพระอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า คราวหนึ่งได้เห็นส่วนมะม่วมริมฝั่งแม่น้ำกิมิกาฬน่ารื่นรมย์จึงขอลาพระพุทธเจ้าไปบำเพ็ญเพียร ณ ที่นั้น พระพุทธเจ้าห้ามไม่ฟังพระเมฆิยะไปบำเพ็ญเพียรถูกอกุศลวิตกต่าง ๆ รบกวน ในที่สุดต้องกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรมเทศนาเรื่องธรรม ๕ ประการสำหรับบ่มเจโตวิมุติ (การหลุดพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจการฝึกจิตหรือด้วยกำลังสมาธิ) จึงได้สำเร็จพระอรหัต 

๒. กกุธานที ไหลผ่านดินแดนระหว่างเมืองปาวากับเมืองกุสินาราแคว้นมัลละ พระอานนท์ทูลเชิญเสด็จพระพุทธเจ้า เสด็จลงเสวยและชำระพระกายที่ตรากตรำมาในระยะทางจากเมืองปาวาไปเมืองกุสินาราในวันที่พระพุทธเจ้าทรงดับขันธปรินิพพาน 

๓. คงคา เป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ เกิดที่ภูเขาหิมพานต์ มีความยาวถึงประมาณ ๒,๕๐๐ กิโลเมตร ณ บริเวณลุ่มแม่น้ำคงคากับยมุนาบรรจบกันเป็นอาณาบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งที่ตั้งของนครและแว่นแคว้นที่มีความสำคัญ ๕ สายที่เรียกว่า ปัญจมหานที บรรดาแคว้นในมหาชนบท ๑๖ ที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำคงคามีดังนี้ 

แคว้นอังคะ ตั้งอยู่ปลายแม่น้ำคงคา 
แคว้นมคธ ตั้งอยู่ใต้แม่น้ำคงคาตอนกลาง 
แคว้นโกศล ตั้งอยู่บริเวณแม่น้ำคงคาตอนกลาง 
แคว้นกาสี ตั้งอยู่ตอนบรรจบของแม่น้ำคงคาและยมุนา 
แคว้นปัญจาละ ตั้งอยู่ตรงลุ่มแม่น้ำคงคาตอนบนนครหลวงกัมปิละ ตั้งอยู่เหนือแม่น้ำคงคา 
นอกจากนั้นนครมิถิลา เมืองหลวงของแคว้นวิเทหะ ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำคงคา ตอนกลาง ตรงข้ามกับแคว้นมคธ 

๔. คันธกะ แม่น้ำคันธกะไหลผ่านทางด้านทิศตะวันออกของแคว้นวัชชี ส่วนเมืองกุสินารานครหลวงของแคว้นมัลละ ตั้งอยู่ที่จุดบรรจบของแม่น้ำคันธกะ กับแม่น้ำอจิรวดี (หนึ่งในปัญจมหานที) 

๕.โคธารวรี แคว้นอัสสกะ ตั้งอยู่ ณ ลุ่มแม่น้ำโคธาวรี พราหมณ์พาวรีอาจารญ์ใหญ่ตั้งอาศรมสอนไตรเพทอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวรี ณ สุด เขตแดนแคว้นอัสสกะ พราหมณพาวรีได้ส่งศิษย์ ๑๖ คนเดินทางไปถามปัญหาพระพุทธเจ้า ณ ปาสาณเจดีย์ ในแคว้นมคธ 

๖. จัมปา แม่น้ำจัมปาไหลกั้นแดนระหว่างแคว้นมคธกับแคว้นอังคะ 

๗. นัมมทา แม่น้ำนัมมทาไหลผ่านแคว้นสุนาปรันตะ พระพุทธเจ้าทรงประทับรอยพระบาทไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา เมื่อพระพุทธเจ้าองค์เสด็จไปแสดงธรรมโปรดชาวสุนาปรันตะและนัมมทานาคราช นาคราชขอของที่ระลึกไว้บูชา จึงทรงประทับรอยพระบาทไว้นับเป็นรอยพระพุทธบาทที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก 

๘. เนรัญชรา แม่น้ำเนรัญชราไหลผ่านแคว้นมคธ ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมซึ่งตั้งอยู่บนลุ่มแม่น้ำเนรัญชรา อันเป็นภูมิสถานที่สงบน่ารื่นรมย์พระมหาบุรุษทรงเลือกที่แห่งนี้เป็นที่บำเพ็ญเพียร ทรงประทับอยู่ ณ ที่นี้ นานถึง ๖ ปี พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา และเปลี่ยนมาทรงดำเนินในมัชณิมาปฏิปทา จนได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธญาณ ภายใต้ร่มพระศรีมหาโพธิ์ ในตำบลนี่ ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราแห่งนี้ 

๙. ปัญจมหานที คือแม่น้ำสำคัญ ๕ สาย อันมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหิมพานต์ (หิมาลัย) ซึ่งแถบเชิงเขาปกคลุมไปด้วยป่าไม้ใหญ่มีฝนตกชุก เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหลายสายไหลลงมาทางใต้ ปัญจมหานที (หรือปัญจนที) คือ ๑.แม่น้ำคงคา ๒.แม่น้ำยมุนา ๓. แม่น้ำอจิรวดี (หรือแม่น้ำรับดิ) ๔. แม่น้ำสรภู ๕.แม่น้ำมหี 

๑๐.ภาคะรถี แม่น้ำภาคีรถีเป็นแควหนึ่งของแม่น้ำคงคาตอนบนแม่น้ำภาคีรถีไหลผ่านแคว้นปัญจาละ 

๑๑. มหี แม่น้ำเป็นแม่น้ำสายหนึ่งในแม่น้ำสำคัญ ๕ สายที่เรียกว่าปัญจมหานที 

๑๒. ยมุนา แม่น้ำยมุนาเป็นแม่น้ำสายหนึ่งในแม่น้ำสำคัญ ๕ สายที่เรียกว่า ปัญจมหานที บรรดาแคว้นในมหาชนบท ๑๖ ที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำยมุนามีดังนี้ 

แคว้นกาสี ตั้งอยู่ตอนบรรจบของแม่น้ำยมุนาและคงคา 
แคว้นวังสะ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำยมุนา นครหลงชื่อกรุงโกสัมพี ตั้งอยู่เหนือฝั่งแม่น้ำยมุนา 
แคว้นกุรุ ตั้งอยู่บนลุ่มแม่น้ำยมุนาตอนบน 
แคว้นมัจฉะ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสินธุกับตอนบน 
แคว้นสุรเสนะ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสินธุกับแม่น้ำยมุนาตอนล่าง 

๑๓. โรหิณี แม่น้ำโรหิณีไหลผ่านเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างแคว้นศายะกับแคว้นโกลิยะ แคว้นทั้งสองได้เกิดกรณีพิพาทอันมีมูลเหตุจากการแย่งกันใช้น้ำจากแม่น้ำโรหิณีเพื่อทำการเกษตร จนเกือบจะเกิดสงคราม พระพุทธเจ้าทรงเสด็จมาระงับการวิวาทระหว่างพระญาติทั้ง ๒ ฝ่ายจนสงบลงได้ 

พระมหาสาวกอานนท์ซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากประจำประองค์ของพระพุทธเจ้า เป็นเจ้าชายในศากยวงศ์ เป็นพระโอรสของพระเจ้าสุกโกทนะ ซึ่งเป็นพระเจ้าอาของเจ้าชายสิทธัตถะ ครั้นเมื่อพระอานนท์ดำรงชีวิตสืบมาจนอายุได้ ๑๒๐ ปี จึงปรินิพพานในอากาศเหนือแม่น้ำโรหิณี ซึ่งเป็นเส้นกั้นแดนระหว่างแคว้นของพระญาติทั้งสองฝ่ายคือ ศากยะและโกลิยะ 

๑๔. วัคคุมุทา พระมหาสาวกยโสชะ เป็นบุตรหัวหน้าชาวประมงใกล้ประตูเมืองสาวัตถี ได้ฟังพระธรรมเทศนากปิลสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง มีความเลื่อมใสขอบวช ต่อมาไปเจริญสมณธรรมที่ริมฝั่งแม่น้ำวัคคุมาทา ได้สำเร็จพระอรหัต 

๑๕. สรภู แม่น้ำสรภูเป็นแม่น้ำสายหนึ่งในแม่น้ำสำคัญ ๕ สายที่เรียกว่า ปัญจมหานที 

๑๖. สัลลวตี แม่น้ำสัลลวตีเป็นแม่น้ำที่กั้นอาณาเขตมัชฌิมชนบทหรือถิ่นกลางที่มีความเจริญรุ่งเรือง กับปัจจันตชนบทหรือหัวเมืองชั้นนอกถิ่นที่ยังไม่เจริญ ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ นับจากแม่น้ำสัลลวตีเข้ามาถือเป็นเขตมัชฌิมชนบท 

๑๗. สินธุ แม่น้ำสินธุไหลผ่านแคว้นในมหาชนบท ๑๖ ดังนี้ 

แคว้นมัจฉะ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสินธุกับแม่น้ำยมุนาตอนบน 
แคว้นสุรเสนะ ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำสินธุกับแม่น้ำยมุนาตอนล่าง 
แคว้นคันธาระ ตั้งอยู่ทางลุ่มแม่น้ำสิธุตอนบน 

๑๘. โสน แคว้นมคธตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำโสนกับแคว้นอังคะ โดยมีแม่น้ำคงคาอยู่ทางทิศเหนือ มีภูเขาวินทัยอยู่ทางทิศใต้และทิศตะวันตก 

๑๙.หิรัญวดี แม่น้ำหิรัญวดีนับเป็นแม่น้ำสายสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าเสด็จข้าม โดยพระพุทธองค์เสด็จไปเมืองกุสินาราในวันที่จะดับขันธปรินิพาน ทรงข้ามแม่น้ำหิรัญวดีเข้าสู่สาลวโนทยานของมัลลกษัตริย์ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำแห่งนี้ ณ สาลวโนทยาน พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานแม่น้ำหิรัญวดี ไหลลงไปบรรจบกับแม่น้ำสรภู 

๒๐. อจิรวดี แม่น้ำอจิรวดี เป็นแม่น้ำสายหนึ่งในแม่น้ำสำคัญ ๕ สายที่เรียกว่าปัญจมหานที แม่น้ำอจิรวดี (หรือที่เรียกว่ารับดิ) มีพระนครสาวัตถี นครหลวงของแคว้นโกศลตั้งอยู่บนฝั่งลำน้ำ และจุดที่บรรจบของแม่น้ำอจิรวดีกับแม่น้ำคันธกะเป็นที่ตั้งของนครกุสินาราเมืองหลวงของแคว้นมัลละ 

๒๑. อโนมา แม่น้ำอโนมากั้นพรมแดนระหว่งแคว้นสักะกับแคว้นมัลละ เมื่อพระสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชา ทรงม้ากัณฐกะเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ยามเที่ยงคืน ครั้นยามเช่ามาถึงฝั่งแม่น้ำอโนมา ตรัสสั่งให้นายฉันนะอำมาตย์คนสนิทนำม้าพระที่นั่งและเครื่องประดับสำหรับขัตติราชทั้งหมดกลับคืนพระนคร ทรงตัดพระเมลีด้วยพระขรรค์อธิฐานเพศพรรพชิต ณ ฝั่งแม่น้ำอนโนมานี้ 

๒๒. อสิคนี แม่น้ำอสิคนี หรือจันทรภาค ไหลผ่านแคว้นมัททะนครหลวงชื่อสาคละ ตั้งอยู่เหนือแม่น้ำอสิคนีหรือจันทรภาคบุตรแม่น้ำมหานที และแม่น้ำกฤษณาไว้อีกด้วย 

สิ่งที่จิตระลึกถึงก่อนตายมี ๓ ชนิด คือ



๑. กรรม 

ภาพกรรมดีกรรมชั่วที่เคยทำในอดีตมักหวนกลับมาปรากฏให้เห็นทั้งๆ ที่เราลืมไปนานแล้ว เช่นใครเคยฆ่าคนตาย ภาพเหตุการณ์เกี่ยวกับฆาตกรรมจะกลับมาปรากฏในจิต ถ้าเคยช่วยชีวิตคนไว้ภาพตอนนั้นจะมาปรากฏ นี้แสดงว่านึกถึงกรรมหรือกระบวนการทำความดีหรือความชั่ว ดังพระบาลีว่าในสมัยนั้น กรรมทั้งหลายที่ตนทำไว้ก่อนนั้น ย่อมเกาะติดในจิตของบุคคลผู้ใกล้ตายนั้น 

๒. กรรมนิมิต 

บางคนเคยเห็นภาพที่เป็นสัญลักษณ์ของการทำกรรม เช่นบางคนเห็นมีดที่ตนเคยใช้ฆ่าวัว บางคนนึกถึงภาพโบสถ์วิหารที่ตนเคยสร้าง เราระลึกถึงนิมิตของกรรมใด ก็จะไปเกิดใหม่ตามพลังของกรรมนั้น 

๓. คตินิมิต 

บางคนไม่นึกถึงกรรมในอดีต แต่กลับนึกถึงภาพของที่ที่จะไปเกิดในชาติหน้านั้น คือเห็นคตินิมิต หมายถึงภาพเกี่ยวกับที่ที่จะไปเกิด เช่นใครที่จะไปเกิดในสวรรค์ คนนั้นจะนึกเห็นวิมาน ใครจะไปเกิดเป็นประเภทสัตว์กินหญ้า จะนึกเห็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ภาพเหล่านี้เป็นนิมิตที่บอกล่วงหน้าว่าเราจะไปเกิดในภพภูมิใด คงเหมือนกับภาพที่บางคนฝันเห็นล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุการณ์จริงๆ (สุบิน)

รวมความว่าในวาระสุดท้ายของชีวิต จิตของเราระลึกถึงกรรม กรรมนิมิตหรือคตินิมิตประเภทใด เราจะไปเกิดในภพภูมิอันสอดคล้องกับกรรม กรรมนิมิตหรือคตินิมิตประเภทนั้น ดังนั้นบางคนวางแผนลักไก่คือชั่วชีวิตเขาทำบาปมากกว่าบุญ เขาจึงกะจะนึกถึงกรรมดีนิดหน่อยนั้นก่อนตาย ถ้านึกถึงพระด้วยตนเองไม่ได้ ก็สั่งลูกช่วยเตือนความจำ คนเรามักจะเตือนคนใกล้ดับจิตให้นึกถึงพระเอาไว้ แต่ใครทำบาปไว้มากคงไม่อาจหลอกตัวเองก่อนตายได้ ดังมีเรื่องเล่าว่า เสี่ยคนหนึ่งเป็นพ่อค้าขายข้าวเปลือก ชอบโกงชาวบ้านด้วยวิธีตวงข้าวเปลือกไม่เต็มถัง พอเสี่ยคนนี้ใกล้ตาย ลูกสาวก็กระซิบให้เตี่ยนึกถึงพระด้วยการบริกรรมว่า สัมมา อะระหังๆ แต่เตี่ยบริกรรมตามว่า สัมมา กี่ถังๆ 


แท้ที่จริงนั้น กรรมที่ปรากฏในจิตก่อนตาย มีลำดับการให้ผลก่อนหลัง ซึ่งแบ่งออกเป็น ๔ ชนิดคือ

๑. ครุกรรม (กรรมหนัก) 


กรรมหนักจะให้ผลก่อนกรรมอื่นๆ ถ้าใครทำกรรมหนักภาพของกรรมหนักจะปรากฏในจิตก่อนตาย กรรมอื่นต้องรอโอกาสต่อไป กรรมหนักฝ่ายดี เช่น สมาบัติ ๘ กรรมหนักฝ่ายไม่ดี คืออนันตริยกรรม ๕ เช่น ฆ่าพ่อฆ่าแม่ เป็นต้น 

๒. อาจิณกรรม (กรรมที่ทำจนชิน) 

ถ้าไม่มีกรรมหนัก อาจิณกรรมจะให้ผลก่อนคือปรากฏในจิตก่อนตาย อาจิณกรรมหมายถึงกรรมที่ทำสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย กรรมประเภทนี้มีความสำคัญรองมาจากครุกรรม 

๓. อาสันกรรม (กรรมใกล้ตาย) 

ถ้าไม่มีครุกรรมและอาจิณกรรม อาสันกรรมจะให้ผล อาสันกรรมหมายถึงกรรมทำก่อนสิ้นใจ เช่นการทำสังฆทานก่อนตาย หรือนิมนต์พระมาสวดมนต์ให้ฟังในวาระสุดท้าย 

๔. กตัตตากรรม (กรรมที่สักว่าทำ) 

ถ้ากรรมสามอย่างข้างต้นไม่มี กตัตตากรรมจะให้ผลโดยมาปรากฏในจิตก่อนตาย กตัตตากรรมหมายถึงกรรมด้วยเจตนาอันอ่อน คือไม่ได้ตั้งใจทำ เช่น เพื่อนเอาซองผ้าป่าให้ เราก็เอาเงินทำบุญใส่ซองทำบุญอย่างเสียไม่ได้ หรือแม่สั่งให้เราใส่บาตรพระเราก็ใส่ไปอย่างนั้นเอง นี้เป็นกตัตตากรรม ที่มีน้ำหนักน้อย เพราะเจตนาอ่อน

เหตุดังกล่าวนี้เองทำให้เราไม่สามารถลักไก่ได้ นั่นคือ เช่นคนที่ทำอาสันกรรมด้วยการใส่บาตรพระ ก่อนตัวเองจะตายย่อมไม่สามารถหนีกรรมหนักที่เกิดจากการฆ่าพ่อแม่ไปได้ เป็นต้น เพราะกรรมต่างๆ ให้ผลตามลำดับอย่างนี้ เราจะไปเกิดที่ไหนก็ขึ้นอยู่กับกรรม กรรมนิมิต หรือคตินิมิตที่เรานึกถึงก่อนตาย 

สังสารวัฏ กับหลักคำสอนเรื่องมรรค ผล นิพพาน



พุทธศาสนาถือว่า  การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเพราะเป็นการวนเวียนอยู่ในกระแสหมุนวนแห่งความทุกข์  ความทุกข์ทุกประเภทแฝงตัวอยู่ในธรรมชาติ  ในกระแสของชีวิต  ในกระแสของการเวียนเกิดเวียนตาย  ที่เรียกว่า สังสารวัฏ  พุทธศาสนายอมรับว่าในกระแสแห่งชีวิตนั้นมีความสุขอยู่ด้วย  ไม่ใช่มีแต่ความทุกข์อย่างเดียว  แต่ความสุขที่มีอยู่นั้นเป็นสิ่งน้อยนิด  เมื่อเทียบกับทุกข์ในลักษณะต่างๆ ที่มีอยู่ตลอดเวลา 
พุทธศาสนากล่าวถึงความทุกข์ในชีวิตไว้อย่างไร  จะเห็นได้จากข้อความที่ปรากฏอยู่ในธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร  ซึ่งเป็นปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้า  ดังนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ  คือ  ความเกิดเป็นทุกข์
ความแก่เป็นทุกข์  ความเจ็บป่วยเป็นทุกข์  ความตายเป็นทุกข์
การประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจเป็นทุกข์  การพลัดพรากจากบุคคล
หรือสิ่งอันเป็นที่รักเป็นทุกข์  การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์
โดยย่อ  ขันธ์ห้าที่เข้าไปยึดถือด้วยอุปาทานเป็นทุกข์”

พระพุทธพจน์ดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นความทุกข์ประเภทต่างๆ ในชีวิตที่มนุษย์ต้องประสบอยู่ตลอดเวลา  ความเกิดเป็นทุกข์  ก็เพราะนอกจากจะเป็นทุกข์โดยธรรมชาติของมันเองแล้ว  มันยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทุกข์อื่นๆ เกิดตามขึ้นมา  ความแก่  ความเจ็บป่วย  ความตาย  ซึ่งแต่ละอย่างก่อให้เกิดความทุกข์  ก็เป็นสิ่งที่มีขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  เพราะมีความเกิดเป็นสาเหตุ  การประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจก็เป็นทุกข์  เพราะทำให้เกิดความรำคาญบ้างความขัดเคืองบ้าง  ความโกรธแค้นบ้าง  ความทุกข์เช่นนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันของบุคคลทั่วไป  การพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รักก็เป็นทุกข์  แม้ทุกข์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นทุกวัน  แต่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้แน่นอน   ส่วนการปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สมปรารถนาก็เป็นทุกข์  ความทุกข์อย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่เป็นประจำ  เพราะความต้องการของมนุษย์เป็นสิ่งที่พร่องอยู่เสมอไม่มีมนุษย์คนไหน  ไม่ว่าจะรวยหรือจนที่จะมีหรือได้ตามความปรารถนาไปหมดทุกอย่าง

ครั้งหนึ่ง  ปริพาชกชื่อว่าสามัณฑกานิ  ได้ถามพระสารีบุตรว่า  “ดูกรท่านสารีบุตร  ในศาสนา(ธรรมวินัย)ของท่าน  อะไรเป็นเหตุให้เกิดสุข  อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์”
พระสารีบุตรตอบว่า

ดูกรท่านผู้มีอายุ  ในศาสนานี้(ถือว่า) ความไม่ยินดีแล  เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
ความยินดีเป็นเหตุให้เกิดสุข  ดูกรผู้มีอายุ  เมื่อมีความไม่ยินดี  ทุกข์อย่างนี้เป็นอันหวังได้
คือ  บุคคลผู้ไม่ยินดีแม้เดินอยู่  ก็ไม่ประสบความสุขสำราญ  บุคคลผู้มีความไม่ยินดี
แม้ยืนอยู่…  แม้นั่งอยู่…  แม้นอนอยู่…  แม้อยู่ในบ้าน…  แม้อยู่ในป่า…
แม้อยู่ที่โคนไม้…  แม้อยู่ในเรือนว่างเปล่า…  แม้อยู่ในที่แจ้ง…
แม้อยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์  ก็ย่อมไม่ประสบความสุขสำราญ
ดูกรผู้มีอายุ  เมื่อมีความไม่ยินดี  ความทุกข์อย่างนี้ก็เป็นอันหวังได้

ดูกรผู้มีอายุ  เมื่อมีความยินดีความสุขอย่างนี้ก็เป็นอันหวังได้
คือ  บุคคลผู้มีความยินดี  แม้เดินอยู่  ก็ย่อมประสบความสุขสำราญ
บุคคลผู้มีความยินดี  แม้ยืนอยู่…  แม้นั่งอยู่…  แม้นอนอยู่…
แม้อยู่ในบ้าน…  แม้อยู่ในป่า…  แม้อยู่ที่โคนไม้…
แม้อยู่ในเรือนว่างเปล่า…  แม้อยู่ในที่แจ้ง…
แม้อยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์  เมื่อมีความยินดี  ความสุขอย่างนี้ก็เป็นอันหวังได้
(อง. ทสก.  ๒๔/๖๖)

ข้อความดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า  ความทุกข์ความสุขในชีวิตของสามัญชนเกิดสืบเนื่องมาจากความรู้สึกไม่ยินดีและความรู้สึกยินดี  หรือความไม่รู้สึกพอใจและความรู้สึกพอใจ  แต่เนื่องจากสามัญชนยังมีจิตใจตกอยู่ภายใต้อำนาจของตัณหาหรือความทะยานอยากในรูปแบบต่างๆ ความรู้สึกยินดีหรือพอใจอันเป็นเหตุให้เกิดความสุขนั้นมีน้อย  แต่ความรู้สึกไม่ยินดีหรือไม่พอใจนั้นมีมากกว่าจึงมีการต่อสู้ดิ้นรนแสวงหาสิ่งที่ทำให้เกิดความพอใจกันไม่หยุดหย่อนทั้งคนจนและคนรวย  มนุษย์จึงเป็นผู้วิ่งไล่ตามความทะยานอยากของตนเองเอย่างไม่มีวันจบสิ้น

ด้วยเหตุที่ความทุกข์ประเภทต่างๆ เป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องอยู่โดยธรรมชาติในกระแสแห่งการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ  และเป็นสิ่งที่ไม่อาจขจัดให้หมดสิ้นไปได้ตราบเท่าที่การเวียนตายเวียนเกิดยังคงมีอยู่  พุทธศาสนาจึงสอนให้มุ่งปฏิบัติให้เข้าถึงภาวะที่ไม่ต้องมีการเกิดอีกต่อไป  ภาวะนั้น  คือ  นิพพาน  ภาวะที่เรียกว่า นิพพาน นี้เป็นที่ดับไม่เหลือแห่งตัณหา ๓ อย่าง  คือ  กามตัณหา  ภวตัณหา  และวิภวตัณหา  ซึ่งเป็นเหตุเกิดขึ้นของทุกข์  เมื่อตัณหาอันเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ถูกขจัดให้หมดสิ้นไป  ทุกข์ซึ่งเป็นผลก็พลอยถูกขจัดให้หมดสิ้นไปด้วย  เมื่อเข้าใจถึงนิพพานกระแสหมุนวนแห่งสังสารวัฏก็เป็นอันทำลายลงซึ่งการเวียนตายเวียนเกิดให้ไม่มีอีกต่อไป
 *************************************************************************
 --->>>   หลักคำสอนเรื่องสังสารวัฏในพุทธศาสนามีความสัมพันธ์ที่แยกออกจากกันไม่ได้กับหลักคำสอนเรื่อง  มรรค ๔  ผล ๔  และนิพพาน  คือ  โสดาปัตติมรรค – โสดาปัตติผล ,  สกทาคมมิมรรค – สกทาคามิผล ,  อนาคามิมรรค – อนาคามิผล ,  และอรหัตตมรรค – อรหัตตผล   พุทธศาสนากำหนดอริยมรรคมีองค์แปดเป็นหลักปฏิบัติเพื่อการบรรลุมรรคผล  และผู้บรรลุมรรคผลตั้งแต่โสดาปัตติมรรค – โสดาปัตติผล  ขึ้นไปเรียกว่า พระอริยบุคคล 
ส่วนบุคคลธรรมดาที่ยังดับกิเลสอย่างใดอย่างหนึ่งให้เด็ดขาดไม่ได้เรียกว่าปุถุชน แปลว่า   ผู้ยังหนาแน่นด้วยกิเลส  ตามทรรศนะของพุทธศาสนาผู้ที่ยังอยู่ในระดับปุถุชนยังต้องเวียนตายเวียนเกิดท่องเที่ยวเร่ร่อนไปในสังสารวัฏอย่างไม่มีวันสิ้นสุด  ส่วนผู้ที่ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป  การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏกำหนดแน่นอนและลดหลั่นลงไปตามระดับมรรคผลที่ได้บรรลุ  ดังนี้

--->>  พระโสดาบัน  ได้แก่  ผู้ได้บรรลุโสดาปัตติมรรค – โสดาปัตติผล  แบ่งย่อยออกเป็น  ๓  ประเภท  คือ

๑. เอกพีชี  มีพระพุทธพจน์อธิบายว่า

…บุคคลบางคนในโลกนี้  เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล  กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา  บุคคลนั้นเป็นเอกพีชี  เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป  มาบังเกิดยังภพมนุษย์นี้อีกครั้งเดียว  แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้…(อง.  นวก.  ๒๓/๒๑๖)

๒. โกลังโกละ  มีพระพุทธพจน์อธิบายไว้ว่า

…บุคคลบางคนในโลกนี้  เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล  กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา  บุคคลนั้นเป็นโกลังโกละ  เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป  ยังท่องเที่ยวไปสู่ ๒ หรือ ๓ ตระกูล(เกิดอีก ๒-๓ ครั้ง) แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้…(อง.  นวก. ๒๓/๒๑๖)

๓. สัตตักขัตตุปรมะ  มีพระพุทธพจน์อธิบายไว้ว่า

…บุคคลบางคนในโลกนี้  เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล  กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา  บุคคลนั้นเป็นสัตตักขัตตุปรมะ เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป  ยังท่องเที่ยว (เวียนตายเวียนเกิด)ไปในเทวดาและมนุษย์อีกอย่างมาก ๗ ครั้ง แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้…(อง.  นวก. ๒๓/๒๑๖)

ข้อน่าสังเกตเกี่ยวกับพระโสดาบันทั้ง ๓ ประเภท คือ  ไม่ว่าจะเป็น เอกพีชีโสดาบัน  โกลังโกละโสดาบัน  หรือสัตตักขัตตุปรมโสดาบัน  ล้วนแต่เป็นผู้มีศีลสมบูรณ์ทั้งสิ้น  เกี่ยวกับสมาธิและปัญญาพระพุทธพจน์อธิบายไว้เหมือนกันคือมีสมาธิและปัญญาพอประมาณ  แต่เนื่องจากทั้ง ๓ ประเภทมีจำนวนชาติที่จะต้องเกิดอีกต่างกัน  เมื่อศีลไม่แตกต่างกันสิ่งที่แตกต่างกันก็จะต้องเป็นสมาธิและปัญญา  จึงทำให้ผลคือจำนวนชาติที่จะต้องเกิดต่างกัน  ในคำอธิบายจึงได้อธิบายไว้พอให้สังเกตเห็นได้ต่างกัน

พระโสดาบันประเภทเอกพีชีตายแล้วเกิดอีกครั้งเดียวก็สามารถบรรลุมรรคผลสูงขึ้นไปจนถึงอรหัตตมรรค – อรหัตตผล  แล้วเข้าสู่ปรินิพพานในชาติที่เกิดใหม่นั้น  พระโสดาบันประเภทโกลังโกละตายแล้วเกิดอีก ๒ หรือ ๓ ชาติ จึงสามารถเข้าสู่ปรินิพพานได้ในชาติที่ ๒ หรือที่ ๓ นั้น

ส่วนพระโสดาบันประเภทสัตตักขัตตุปรมะท่านกล่าวว่า  ตายแล้วจะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ  จึงสามารถเข้าสู่ปรินิพพานได้  กล่าวให้ชัดขึ้นพระโสดาบันประเภทนี้น่าจะต้องเกิดอีกไม่น้อยกว่า ๔ ชาติ เพราะถ้าเกิดอีกเพียง ๒ - ๓ ชาติ ก็จะอยู่ในประเภทโกลังโกละ  ไม่อยู่ในเหตุผลของประเภทสัตตักขัตตุปรมะ

--->>>   พระสกทาคามี  ได้แก่  ผู้ได้บรรลุสกทาคามิมรรค – สกทาคามิผล  พระอริยบุคคลประเภทที่สองนี้ละสังโยชน์ ๓ อย่าง  เช่นเดียวกับพระโสดาบัน  และทำราคะ  โทสะ  โมหะให้เบาบางลง  ตายแล้วเกิดอีกครั้งเดียว  แล้วบรรลุมรรคผลสูงขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์  แล้วเข้าปรินิพพานในชาติที่เกิดใหม่นั้น  มีพระพุทธพจน์อธิบายไว้ว่า
…บุคคลบางคนในโลกนี้  เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล  กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา  บุคคลนั้นเป็นสกทาคามี  เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป  แลเพราะราคะ  โทสะ  และโมหะเบาบาง  มาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียว  แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้…(อง. นวก. ๒๓/๒๑๖) 
--->>>   พระอนาคามี  ได้แก่  ผู้บรรลุอนาคามิมรรค – อนาคามิผล  พระอริยบุคคลประเภทที่สามนี้เป็นผู้มีกำลังแห่งศีลและสมาธิบริบูรณ์  มีกำลังแห่งปัญญาพอประมาณ  ผู้เป็นพระอนาคามีตายแล้วจะไม่เกิดเป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดาในกามาวจรสวรรค์หรือรูปปาวจรสวรรค์ชั้นอื่นๆ ทั้งหมด  แต่จะเกิดในสวรรค์ชั้นสุทธาวาสเพียงแห่งเดียว  แล้วปฏิบัติธรรมจนบรรลุเป็นพระอรหันต์และเข้าสู่ปรินิพพานในสวรรค์ชั้นสุทธาวาสนั้น  มีพระพุทธพจน์กล่าวถึงพระอนาคามีว่า

…ดูกรสารีบุตร  บุคคลบางคนในโลกนี้  เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในสมาธิ
กระทำพอประมาณในปัญญา  บุคคลนั้นเป็นอันตราปรินิพพายี
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕  สิ้นไป…เป็นอุปหัจจปรินิพพายี
เป็นอสังขารปรินิพพายี  เป็นสสังขารปรินิพพายี  เป็นอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
ดูกรสารีบุตร  นี้เป็นบุคคลจำพวกที่ ๑…  ที่ ๒…  ที่ ๓…  ที่ ๔…  ที่ ๕
ผู้เป็นสอุปาทิเสสะ  ทำกาละย่อมพ้นจากนรก  พ้นจากกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน
พ้นจากเปตวิสัย  พ้นจากอบาย  ทุคติ  และวินิบาต (อง. นวก.  ๒๓/๒๑๖)

ดูกรอานนท์  พวกอุบาสกในนาทิกคามอีก ๕๐ คน  กระทำกาละแล้ว
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป  เป็นโอปปาติกะ ปรินิพพานในภพนั้น
มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา…(ที. มหา. ๑๐/๘๙)

ในข้อความที่ได้ยกมากล่าวไว้นี้  คำว่า  อันตราปรินิพพายี  , อุปหัจจปรินิพพายี  , อสังขารปรินิพพายี  , สสังขารปรินิพพายี  , อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี  เป็นชื่อของพระอนาคามี  ๕  ประเภท  เกี่ยวกับพระอนาคามี ๕ ประเภท  และรายละเอียดเกี่ยวกับสังโยชน์ที่พระอริยบุคคลระดับต่างๆ ละได้ไม่เท่ากันนี้  จะขออธิบายสั้นๆ เพียงว่า  สังโยชน์เป็นชื่อเรียกกิเลสที่ผูกล่ามสัตว์ไว้กับภพ  ทำให้สัตว์ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสุด  มีทั้งหมด ๑๐ อย่าง  ๕  อย่างแรกเรียกว่า  โอรัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องต่ำ)  ๕ อย่างหลังเรียกว่า  อุทธัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องสูง)  พระอนาคามีละสังโยชน์ ๕ อย่างแรกได้เด็ดขาด

ข้อความหลังเป็นการกล่าวถึงพระอนาคามีเช่นกัน  คำว่า  “โอปปาติกะ”  หมายถึง  สัตว์ที่เกิดเติบโตขึ้นในทันทีทันใด  ได้แก่พวกสัตว์นรก  เปรต  อสุรกาย  และเทวดาในสวรรค์กามาวจรและสวรรค์รูปาวจรทั้งหมด  ซึ่งสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตประเภทต่างๆ ดังกล่าวนั้นไม่ต้องผ่านกระบวนการเกิดอย่างมนุษย์และสัตว์เดียรัจฉาน  พระอนาคามีเมื่อตายแล้วก็เกิดเป็นโอปปาติกะ  คือ  เป็นพรหมในสวรรค์ชั้นสุทธาวาสซึ่งเป็นภูมิของผู้ได้รูปฌาณที่ ๔ เป็นสวรรค์ชั้นรูปาวจร  เมื่อเกิดขึ้นในสวรรค์ชั้นสุทธาวาสแล้ว  ก็ปฏิบัติธรรมต่อจนกระทั่งได้บรรลุเป็นพระอรหันต์และเข้าสู่ปรินิพพานในชั้นสุทธาวาสนั้น  สิ้นภพสิ้นชาติไม่มีการไปเกิดในที่ใดอีก

--->>>   พระอรหันต์  ได้แก่  ผู้บรรลุอรหัตตมรรค – อรหัตตผล  ซึ่งเป็นมรรคผลขั้นสูงสุดตามคำสอนของพระพุทธศาสนา  เป็นผู้ดับอุทธัมภาคิยสังโยชน์หรือสังโยชน์เบื้องสูงที่ยังเหลืออยู่ได้ทั้งหมด  พระอรหันต์จึงเป็นผู้ดับกิเลสทั้งหมดได้เด็ดขาดสิ้นเชิง  เป็นผู้ที่ตัดกระแสแห่งวัฏฏะขาดแล้ว  ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีกต่อไป  เมื่อพระอรหันต์ตายแล้วก็เรียกว่าเข้าสู่ปรินิพพาน
*************************************************************************
--->>>   เกี่ยวกับพระอริยบุคคลทั้ง ๔ ประเภทตามที่ได้อธิบายมาพร้อมกับยกข้อความที่ปรากฏในพระไตรปิฎกมาประกอบคำอธิบาย  ก็เพื่อแสดงให้เห็นความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างคำสอนเรื่องสังสารวัฏ  กับคำสอนเรื่องมรรค ผล นิพพานของพระพุทธศาสนา

พระพุทธพจน์จากพระสุตตันตปิฎกที่ได้ยกมาอ้างไว้นั้น  แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสังสารวัฏหรือการเวียนว่ายตายเกิดตามที่ปรากฏในพุทธศาสนาไม่ใช่การเวียนว่ายเวียนเกิดแบบชั่วขณะจิตแน่นอน  แม้การเวียนตายเวียนเกิดจะสามารถอธิบายในช่วงสั้นแบบชั่วขณะจิตได้  แต่การปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิดแบบข้ามภพข้ามชาติ  ย่อมเท่ากับปฏิเสธหลักคำสอนเรื่อง มรรค ผล นิพพานไปด้วย  นักวิชาการทางพุทธศาสนาและนักเทศน์สอนประชาชนที่ไม่กล้าสอนเรื่องการเวียนเกิดเวียนตายแบบข้ามภพข้ามชาติ  ควรจะได้ใส่ใจเรื่องนี้และพิจารณาพระพุทธพจน์ที่ได้ยกมาแสดงไว้  และพระพุทธพจน์อื่นๆ ทำนองนี้ในพระไตรปิฎกให้ถ่องแท้  ก่อนที่จะตีความง่ายๆ ว่า  คงเป็นข้อความที่มีผู้เพิ่มเติมเข้าไว้ในภายหลัง

-->  ตามทรรศนะของพุทธศาสนา  มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ตายแล้วไม่ต้องเกิดอีก  การตายของพระอรหันต์เรียกว่าปรินิพพาน  ส่วนพระอริยบุคคลตั้งแต่พระอนาคามีลงมาจนถึงพระโสดาบัน  ตายแล้วยังจะต้องเกิดอีก  แต่ต่างกับผู้ที่ยังเป็นปุถุชนตรงที่  ปุถุชนมีการเวียนตายเวียนเกิดท่องเที่ยวเร่ร่อนไปในสังสารวัฏไม่มีที่สิ้นสุด  ส่วนพระอริยบุคคลที่ยังต้องเกิดอีกมีจำนวนชาติที่จะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ

-->  ถ้าเป็นพระอนาคามีตายแล้วก็เกิดในสวรรค์ชั้นสุทธาวาสเพียงแห่งเดียว  และจะบรรลุอรหัตตมรรค – อรหัตตผลเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพานในสวรรค์ชั้นสุทธาวาสนั้น  ไม่มีการจุติไปเกิดในภพภูมิอื่นอีกต่อไป

-->  ถ้าเป็นพระสกทาคามีตายแล้วจะเกิดอีกเพียงครั้งเดียว  แล้วบรรลุมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไปจนถึงขั้นพระอรหันต์  และเข้าสู่นิพพานในชาติที่เกิดใหม่นั้น

-->  ถ้าเป็นพระโสดาบันประเภทเอกพีชีก็จะเกิดอีกเพียงชาติเดียวเช่นกัน  แล้วเข้าสู่นิพพานในชาติที่เกิดใหม่นั้น  พระโสดาบันประเภทโกลังโกละจะเกิดอีก ๒  หรือ  ๓ ชาติ  แล้วเข้าสู่นิพพาน  พระโสดาบันประเภทสัตตักขัตตุปรมะตายแล้วจะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ  แล้วเข้าสู่นิพพานในชาติที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ หรือที่ ๗ แล้วแต่กรณี
--->>>   การตายการเกิดของพระอริยบุคคลประเภทต่างๆ ดังกล่าวมานี้  ไม่ใช่การตายการเกิดแบบชั่วขณะจิตในชาตินี้แน่นอน  ถ้าเป็นการตายการเกิดแบบชั่วขณะจิต  ไม่ใช่การตายการเกิดแบบข้ามภพข้ามชาติ  ก็ต้องหมายความว่าพระอริยบุคคลทุกประเภทจะต้องเข้าถึงปรินิพพานในชาตินี้กันหมดทุกคน  ซึ่งความจริงหรือข้อเท็จจริงที่ปรากฏในพระไตรปิฎกไม่ได้เป็นอย่างนี้  มีอยู่มากมายในพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงบุคคลผู้เป็นพระอริยบุคคลประเภทต่างๆ ที่ไม่ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ในชาติปัจจุบัน  ตายแล้วไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ตามภาวะทางจิตของตน  เช่น

-->  พระเจ้าพิมพิสารราชาแห่งแคว้นมคธผู้ทรงบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันตั้งแต่ได้ทรงสดับพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าแสดงโปรด  เมื่อเสด็จไปทรงประกาศพระศาสนาในแคว้นมคธเป็นครั้งแรก  ภายหลังถูกพระเจ้าอชาติศัตรูพระราชโอรสจับไปขังไว้ในคุก  และทำปิตุฆาตกรรม(ฆ่าพ่อ) สิ้นพระชนม์ในคุก  สิ้นพระชนม์แล้วได้เกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา  โดยเป็นบริวารของท้าวเวสสวรรณซึ่งเป็นมหาราชองค์หนึ่งในสี่องค์ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้  เมื่อเกิดเป็นเทพได้นามว่า  ชนวสภะ  ได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้าตอนที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระตำหนักตึกในหมู่บ้านนาทิกะในแคว้นมคธ  ได้กราบทูลเรื่องราวต่างๆ ให้พระพุทธเจ้าทราบ  และกล่าวว่าตนตั้งความหวังไว้ว่าจะได้เป็นพระสกทาคามีในอนาคต (ชนวสภสุตตํ  ที.  มหา. ๑๐/๑๘๗–๒๐๘)

-->  หัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวี  เป็นสาวกฆราวาสคนหนึ่งของพระพุทธเจ้าได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี  หลังจากถึงแก่กรรมได้ไปเกิดเป็นเทพในพรหมโลกชั้นอวิหา  ซึ่งเป็นชั้นหนึ่งของสวรรค์ชั้นสุทธาวาส  วันหนึ่งขณะพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระเชตวันวิหารใกล้นครสาวัตถี  หัตถกเทพบุตรได้ลงมาเฝ้าสนทนากับพระองค์  กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทราบเรื่องราวบางอย่างของตนในพรหมโลกชั้นนั้น (อง.  ติก.  ๒๐/๕๖๗) 
--->>>   ในมหาปรินิพพานสูตร  มีข้อความกล่าวว่าขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่หมู่บ้านนาทิกะ  พระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าแล้วกราบทูลถามถึงคติและภพเบื้องหน้าของสาวกที่เป็นภิกษุ  ภิกษุณี  อุบาสก  และอุบาสิกา  เป็นจำนวนมากที่ตายที่หมู่บ้านนาทิกะว่า  ท่านเหล่านั้นตายแล้วไปเกิดในที่ไหน  หรือมีคติเบื้องหน้าเป็นอย่างไร  พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า

ดูกรอานนท์  ภิกษุนามว่าสาฬหะ  กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ  ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้  เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งของตนเองในปัจจุบัน  เข้าสู่นิพพานแล้ว
ภิกษุณีนามว่านันทา  เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป  เป็นโอปปาติกะปรินิพพานในภพนั้นมีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
อุบาสกนามว่าสุทัตตะ  เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป  และเพราะ ราคะ โทสะ โมหะเบาบางเป็นพระสกทาคามี  กลับมายังโลกนี้คราวเดียวเท่านั้น  แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
อุบาสิกานามว่าสุชาดา  เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไปเป็นพระโสดาบัน  มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา  เป็นผู้จะได้ตรัสรู้ในภายหน้าแน่นอน
อุบาสกนามว่ากกุธะ  เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป  เป็นโอปปาติกะปรินิพพานในภพนั้น  มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
อุบาสกนามว่าการฬิมพะ…  อุบาสกนามว่านิกฏะ…  อุบาสกนามว่ากฏิสสหะ…  อุบาสกนามว่าตุฏฐะ…  อุบาสกนามว่าสันตุฏฐะ  อุบาสกนามว่าภฎะ…  อุบาสกนามว่าสุภฎะ  เพราะสังโยชน์ ๕ เบื้องต่ำสิ้นไป  เป็นโอปปาติกะ  ปรินิพพานในภพนั้น  มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา (มหาปรินิพพานสุตตํ  ที.  มหา. ๑๐/๘๙)

-->  บรรดาบุคคลที่ปรากฏชื่อในข้อความดังกล่าวนี้  ล้วนแต่เป็นพระอริยบุคคล  หรือผู้ที่ได้บรรลุมรรคผลในพระพุทธศาสนาแล้วทั้งสิ้น  บางท่านเป็นพระโสดาบัน  บางท่านเป็นพระสกทาคามี  หลายท่านเป็นพระอนาคามี  และมีอยู่ท่านหนึ่งเป็นพระอรหันต์  คือภิกษุชื่อสาฬหะ  ผู้ที่ได้บรรลุมรรคผลยังไม่ถึงขั้นเป็นพระอรหันต์  ตายแล้วล้วนต้องเกิดอีกทั้งสิ้น 
--->>>   จะเห็นได้ว่าคำสอนเรื่องการเวียนตายเวียนเกิดที่เรียกว่าสัวสารวัฏของพระพุทธศาสนา  มีความสัมพันธ์กับคำสอนที่เป็นแก่นของศาสนา  คือคำสอนเรื่องมรรคผลนิพพาน  ถ้ามนุษย์เกิดหนเดียวตายหนเดียว  หรือมีชีวิตอยู่จริงเพียงในชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น  หลักคำสอนเรื่องมรรคผลนิพพานก็จะเป็นคำสอนที่ไร้สาระ  เพราะจะตอบคำถามบางอย่างไม่ได้  เช่นว่า  พระอริยบุคคลที่บรรลุมรรคผลเป็นเพียงพระโสดาบัน  หรือพระสกทาคามี  หรือพระอนาคามีตายแล้วไปไหน  จะให้ท่านเข้าสู่ปรินิพพานท่านก็ยังเข้าไม่ได้  เพราะยังไม่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์  ถ้าตายแล้วขาดสูญไม่มีการเกิดอีกการบรรลุมรรคผลนิพพานก็เป็นสิ่งไร้ความหมาย  เพราะคนธรรมดากับพระอริยบุคคลก็จะมีสภาพเท่าเทียมกันหลังตายแล้ว

-->  อนึ่ง  การปฏิบัติเพื่อให้ได้บรรลุมรรคผลตามคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก  เพราะเป็นการปฏิบัติทวนกระแสของการดำเนินชีวิตแบบธรรมดาทั่วไป  บางคนต้องสละโลกียวิสัยออกบวชเป็นพระภิกษุ  หากผู้ที่สละความสุขสำราญทางโลกมุ่งปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน  หลังจากตายแล้วมีสภาพเท่ากับผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างชาวโลกธรรมดาทั่วไป  ผู้มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานอย่างพระภิกษุสามเณรก็จะกลายเป็นผู้ที่โง่ที่สุด  เพราะใช้ชีวิตอย่างโง่ๆ ไม่รู้จักตักตวงเอาความสุขสำราญจากชีวิตที่ตนมีอยู่เพียงครั้งเดียว  ถ้าจะอ้างว่าการปฏิบัติธรรมโดยมีความมุ่งหวังเช่นนั้นไม่ได้เป็นสิ่งไร้สาระ  เพราะจะทำให้มีชีวิตอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน  ก็เป็นเหตุผลที่อ่อนเพราะการปฏิบัติเช่นนั้นไม่ได้ทำให้มีความสุขอยู่ในปัจจุบันเสมอไปและทุกคนไป  พระธุดงค์บางองค์ปฏิบัติไปยังไม่ทันจะได้พบความสุขอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกเสือหรืองูกัดตายเสียแล้ว

-->  อนึ่ง  การมีชีวิตอยู่เป็นสุขในปัจจุบันนั้น  ผู้ที่สมบูรณ์พร้อมด้วยทรัพย์สินและเกียรติยศชื่อเสียงก็มีอยู่ถมไปที่สามารถมีความสุขเช่นนั้นได้  ไม่จำเป็นต้องทนทรมานอดหลับอดนอนกินข้าววันละมื้อสองมื้อจึงจะมีความสุขได้  เพราะฉะนั้น  ถ้าตายแล้วไม่มีการเกิดใหม่หรือไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดคำสอนเรื่องมรรคผลนิพพานของพระพุทธสาสนาก็จะเป็นคำสอนที่ไร้สาระใช้เป็นประโยชน์ที่แท้จริงอะไรมิได้  แต่เพราะการเวียนตายเวียนเกิดหรือสังสารวัฏเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นจริง  พระพุทธเจ้าทรงประทานคำสอนดังกล่าวไว้เพื่อให้เวไนยบุคคลยึดเป็นแนวทางดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางที่สามารถดับทุกข์ในสังสารวัฏได้อย่างสิ้นเชิงและตลอดไป

ตายแล้วเกิดใหม่ได้อย่างไร



พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องจิตไว้พิสดารมากนักแล้วยังมีเจตสิกอันเป็น เรื่องใหญ่และสำคัญประกอบกับจิตอีก ทั้งจิตก็มิได้คงทนถาวรอยู่ได้ ไม่มีวันตายเหมือนศาสนาอื่น เช่น อาตมันก็หาไม่ จิตย่อมเกิดดับติดต่อกันไปอยู่เสมอ เป็นนิจถี่ยิบ ไม่มีวันหยุดหย่อนกันเลย เรียกว่า เป็นสันตติคือการสืบต่อ จิตที่ดับไปแล้วจะเป็นเหตุปัจจัย(เหตุอื่นร่วมด้วย)ให้จิตใหม่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับ แล้วก็เป็นเหตุให้เป็นปัจจัยให้เกิดต่อๆ ไป เกิด - ดับ - เกิด - ดับ อยู่ไม่ขาดสายติดต่อกันไป
     เมื่อจิตมีแต่ความเกิด-ดับสืบต่อกันไปดังนี้แล้ว จิตก็จะไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะล่องลอยไปเที่ยวหาที่เกิด จิตก็ล่องลอยไปไม่ได้ ทั้งการเกิดใหม่ก็มิได้มีแต่จิตเพียงอย่างเดียว เพราะมีรูปเกิดร่วมด้วย ถ้าเช่นนั้นจิตไม่ไปเกิดดอกหรือ? ไปอย่างไรเกิดอย่างไร?
     ผู้ที่มิได้ศึกษาเรื่อง "รูป" อย่างจริงจัง ก็มักจะเข้าใจผิดคิดไปว่า "รูป" ก็ได้แก่ร่างกายและสิ่งของต่างๆ ในทางพระพุทธศาสนาแสดงเรื่องรูปว่า รูปมีจำนวนถึง ๒๘ รูป โดยแบ่งเป็นมหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป ๒๔ โดยแยกรูปให้เล็กลงๆ เป็นลำดับ ตั้งแต่เม็ดข้าวเปลือก ๑ เม็ดแยกออกเป็นหลายสิบล้านส่วน ส่วนหนึ่งเหล่านั้น เรียกว่า "ปรมณู" ทุกๆ ปรมาณูเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เรื่อยๆ ด้วยอำนาจของอุณหเตโช คือความร้อน ด้วยเหตุนี้ รูปทั้งหลายจึงเป็น อนิจจัง คือความไม่เที่ยง เป็นทุกขัง คือความทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และเป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวตนคนสัตว์(เป็นการประชุมกัน) ทั้งไม่อาจบังคับบัญชาได้
     ปรมาณูในพระพุทธศาสนา
๑ ธัญญมาส = ๗ อูกา
๑ อูกา = ๗ ลิกขา
๑ ลิกขา = ๓๖ รถเรณู
๑ รภเรณู = ๓๖ ตัชชารี
๑ ตัชชารี = ๓๖ อณู
๑ อณู = ๓๖ ปรมาณ
     นอกจากในเรื่องรูปแล้ว ในพระพุทธศาสนายังได้แสดงถึงเรื่องจิตใจด้วยว่ามีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลายตัวไป อยู่ตลอดเวลาโดยรวดเร็ว เหมือนกับสิ่งทั้งหลายที่มิได้มีสิ่งใดแม้แต่อย่างเดียวที่ตั้งอยู่อย่าง มั่นคงได้ ดังนั้นจิตใจจึงอยู่ในฐานะเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นเดียวกันกับรูป
     ในพระพุทธศาสนาถือว่า ตราบใดที่บุคคลยังมีกิเลสอยู่แล้ว ความเกิดก็ไม่มีปัญหา จะต้องเกิดอีกอย่างแน่นอนทีเดียว หากแต่ความเกิดอีกมิได้เป็นไปในรูปแบบของการล่องลอย หรือที่พูดกันโดยทั่วไปว่าวิญญาณล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่ หากแต่เป็นไปตามแบบฉบับของการสืบต่อ(สันตติ) ซึ่งมีทั้งจิตหรือวิญญาณ มีทั้งรูปที่เป็นปรมาณูเกิดรวมกัน คือจิตดวงหนึ่งดับลงไปแล้ว(จุติจิต = ตาย) ด้วยอำนาจของเหตุปัจจัยหลายประการ จิตดวงต่อไปก็ได้อุบัติขึ้นมาทันที(ปฏิสนธิจิต = เกิด) ในภพใหม่ชาติใหม่ติดต่อกัน โดยมิได้มีระหว่างคั่น พร้อมด้วยรูปปรมาณูที่เรียกว่า กรรมชรูป
     จิตนั้นมิได้เป็นสสารมิได้เป็นพลังงาน หากแต่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัยเหตุต่างๆ ทำให้เกิดขึ้นมาแล้วสลายตัวไปโดยรวดเร็ว มิได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มิได้เป็นอมตะ มิได้เกิดขึ้นมาโดยการดลบันดาลของใคร และอยู่ในฐานะอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นเดียวกันกับบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลาย
     จิตใจนั้นแม้ว่ามันจะมองไม่เห็นเป็นตัวเป็นตน ซ้ำถูกต้องไม่ได้ก็ดี แต่ถึงกระนั้นมันก็มีอำนาจ หรือมีอิทธิพลหลายอย่าง เช่น รู้อารมณ์ได้ เก็บบาปเก็บบุญไว้ก็ได้ ทำน้าที่ปฏิสนธิคือสืบต่อเกิดใหม่ในภพชาติต่อไปได้ เมื่อมีสมาธิมากๆ แล้วแสดงอิทธิฤทธิ์บางอย่างก็ได้ด้วย เรื่องของจิตใจหรือวิญญาณนั้น มิได้ศึกษากันไปลมๆ แล้งๆ หากแต่มีบทพิสูจน์พร้อมบริบูรณ์ ผู้เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจะได้รู้เห็นจิตใจหรือวิญญาณนี้แจ่มใสชัดเจน อยู่ในใจ(ไม่ใช่มโนภาพ) พ้นจากข้อสงสัยได้แน่นอน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางบทพิสูจน์เอาไว้แล้ว
     ในปฏิสัมภิทาพระบาลีมหาวรรค แสดงว่าจิตนี้ มีชื่อตั้ง ๑๐ ชื่อ เพื่อแสดงให้รู้ว่าจิตคืออะไร ? คือ
     ยํ จิตฺตํ มโน หทยํ มานสํ ปณฺฆรํ มนายตนํ มนินฺทริยํ วิญฺญาณกฺขนฺโธ ตชฺช มโนวิญฺญาณธาตุ อิทํ จิตฺตํ ฯ
     ในอัฏฐสาลินีอรรภกถาธิบายว่า
๑. ธรรมชาติใดย่อมคิด ธรรมชาตินั้นชื่อว่า จิต
๒. ธรรมชาติใดย่อมน้อมไปหาอารมณ์ ธรรมชาตินั้นชื่อว่า มโน
๓. จิตนั่นแหละได้รวบรวมอารมณ์ไว้ภายใน ดังนั้นจึงชื่อว่า หทัย
๔. ธรรมชาติคือฉันทะที่มีพอใจนั่นเอง ชื่อว่า มานัส
๕. จิตเป็นธรรมชาติที่ผ่องใสจึงได้ชื่อว่า ปัณฑระ
๖. มนะนั่นเองเป็นอายตนะ คือเป็นเครื่องต่อจึงชื่อว่า มนายตนะ
๗. มนะอีกนั่นแหละที่เป็นอินทรีย์ คือความเป็นใหญ่ จึงชื่อว่า มนินทรีย์
๘. ธรรมชาติใดรู้แจ้งอารมณ์ ธรรมชาตินั้นชื่อว่า วิญญาณ
๙. วิญญาณนั่นแหละเป็นขันธ์ จึงชื่อว่า วิญญาณขันธ์
๑๐. มานะนั่นเองเป็นธาตุชนิดหนึ่งที่รู้แจ้งซึ่งอารมณ์จึงชื่อว่า มโนวิญญาณธาตุ
     สำหรับปุถุชนทั้งหลาย ผู้ซึ่ง "อนุสัยกิเลส" ยังยึดครองจิตใจอยู่ การกระทำทั้งหมดจึงเป็นกรรมหาเป็นกริยาไม่ เพราะโดนอำนาจภายใน ซึ่งได้แก่กิเลสหนุนหลังให้แสดงออกซึ่งพฤติกรรมต่างๆ จึงดิ้นให้หลุดออกไปจากภพชาติไม่ได้ ชาติหน้าจึงมีอยู่ร่ำไป การแก้ปัญหาให้แก่ชีวิตจึงเกิดขึ้นเรื่อยๆ ทุกชาติ
     อนุสัยกิเลส เป็นกิเลสอย่างละเอียด คือตัวการที่ทำให้บังเกิดความเร่าร้อน ที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานของสัตว์ทั้งหลาย เป็นธรรมชาติที่เร้นลับและลึกซึ้งยิ่งนัก ถ้ามิใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจะไม่มีใครแสดงได้เลย เพราะมันสงบนิ่งอยู่ภายในจิตใจไม่ปรากฏออกมาให้ใครได้ประจักษ์ แต่ฤทธิ์เดชของมันนั้นเหลือหลายนัก ท่านจึงเปรียบอนุสัยกิเลสนี้ว่าเหมือนกับงูที่มีพิษร้ายเพราะว่ามันนอนหลับ จึงไม่เกิดอันตรายกับใครเลย แต่ถ้าผู้ใดทำให้มันตื่นขึ้นมาแล้ว มันก็จะแสดงอำนาจของมันทันที มันก็จะฉกกัด และทำให้ผู้เข้าไปใกล้ถึงแก่ความตายได้
     อารมณ์ที่มากระทบอยู่ทุกๆ วันก็เหมือนกัน เมื่อรูปกระทบกับตาแล้ว มันก็กระเทือนถึงอนุสัย ไม่ว่ารูปนั้นจะดีจะชอบใจ หรือไม่ดีไม่ชอบใจก็ตาม เมื่อกระทบแล้วก็จะเกิดปัจจัยสนับสนุนให้เกิดความรู้สึกเร่าร้อนขึ้นมาในใจ อันเป็นกิเลสอย่างกลาง และถ้าความเร่าร้อนในใจนั้นมีกำลังมาก มันก็จะไม่เกิดแต่ความเร่าร้อนใจเท่านั้น หากมันก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เกิดการแสดงออกซึ่งกิเลสอย่างหยาบทางวาจา หรือทางร่างกายต่อไป


ปฏิจจสมุปบาทในอารมณ์ปัจจุบัน

ปฏิจจสมุปบาท

     ปฏิจฺจ (อาศัย) + สํ (พร้อม) + อุปฺปาท (เกิด)
     หมายถึง ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นพร้อม ได้แก่เป็นธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดผลต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย จึงทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น

     "ปจฺจยฺ ปฏิจฺจสมุปฺปชฺชตีติ = ปฏิจฺจสมุปฺปาโท"
     ธรรมใดย่อมเกิดขึ้นโดยอาศัยปัจจัย ฉะนั้นธรรมนั้นชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาท

     อีกนัยหนึ่ง "สมุปฺปชฺชนํ = สมุปฺปาโท"
     การเกิดขึ้นด้วยดี คือเกิดขึ้นตามละดับ ชื่อว่า สมุปบาท

     "ยถาสกํ ปจฺจยํ ปฏิจฺจ เตน อวินาภาวี หุตวา สมุปฺปาโท = ปฏิจฺจสมุปฺปาโท"
     การเกิดขึ้นตามลำดับของธรรมที่อาศัยปัจจัยของตนๆ และไม่ปราศจากกันกับปัจจัยของตนนั้นๆ ชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาท ได้แก่ธรรมที่เป็นผลมีสังขาร เป็นต้น

     การอุปการะของปัจจัยธรรมต่อปัจจยุบันนธรรม คือธรรมชาติของเหตุที่ทำให้เกิดผล ตามนัยแห่งปฏิจจสมุปปาท ซึ่งมี ๑๒ องค์ ดังนี้
อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร
สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณ
วิญญาณ เป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป
นามรูป เป็นปัจจัยให้เกิด อายตนะ
อายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิด ผัสสะ
ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา
เวทนา เป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา
ตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิด อุปาทาน
อุปาทาน เป็นปัจจัยให้เกิด ภพ
ภพ เป็นปัจจัยให้เกิด ชาติ
ชาติ เป็นปัจจัยให้เกิด ชรา มรณะ
(ส่วน) โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาสะ ย่อมเกิดตามขึ้นมาด้วย
     ความไม่รู้ความจริงในเรื่องชีวิตตามที่มันเป็นจริงแท้ จึงตกเป็นผู้โง่เขลา และความโง่เขลาย่อมสนับสนุนให้บังเกิดการปรุงแต่ง คือการกระทำต่างๆ ให้เป็นบาปบ้างเป็นบุญบ้าง เป็นต้น
     เพราะการปรุงแต่ง คือเกิดการกระทำอันเป็นบาปบ้างเป็นบุญบ้างนี่เอง จึงได้สนับสนุนให้เกิดวิญญาณ คือการรับรู้อารมณ์ขึ้นมาอีก แม้จะได้ตายลงไปแล้วก็ตาม
     เพราะวิญญาณเกิดขึ้นนี่เอง จึงได้สนับสนุนให้เกิดนามคือเจตสิก อันเป็นธรรมชาติที่เกิดร่วมกับจิต และเกิดรูปอันได้แก่กรรมชรูป เป็นที่ตั้งที่อาศัยของจิต เป็นต้น ให้เกิดขึ้นมาด้วย
     เพราะนามและรูปที่เกิดขึ้นมาแล้วนี้เอง จึงได้สนับสนุนให้เกิดอายตนะ เครื่องรับอารมณ์ทั้ง ๖ มีประสาทตา ประสาทหู เป็นต้น ขึ้นมาอีก
     เพราะมีอายตนะเครื่องรับอารมณ์ทั้ง ๖ แล้ว จึงได้สนับสนุนให้เกิดผัสสะ คือการกระทบ เช่นรับกระทบให้เกิดอารมณ์ทางตา ทางหู เป็นต้น
     เพราะการกระทบอารมณ์ต่างๆ เช่นทางตา ทางหูนี่เอง จึงได้สนับสนุนให้เกิดการเสวยอารมณ์ มีสุข ทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์คืออุเบกขาขึ้นมา
     เพราะการเสวยอารมณ์สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์คืออุเบกขานั้น จึงสนับสนุนให้เกิดตัณหา คือความยินดีติดใจในอารมณ์ต่างๆ ก่อให้เกิดการดิ้นรนแสวงหา
     เพราะยินดีติดใจอย่างเหนียวแน่นนี้เอง จึงได้ยั่วยุ สนับสนุนให้บังเกิดการกระทำต่างๆ ขึ้นมาอีก ซึ่งเมื่อได้กระทำลงไปแล้วก็จะหนีบาปหนีบุญไปไม่ได้ เพราะปุถุชนกระทำลงไปไม่บาปก็บุญเท่านั้น
     เพราะการกระทำต่างๆ อันเป็นบาปเป็นบุญดังกล่าวแล้ว จึงได้สนับสนุนให้มีชาติ คือความเกิดขึ้นมาอีกในภพใหม่ชาติใหม่
     เพราะเมื่อชาติคือความเกิดได้ตั้งต้นขึ้นมาแล้ว ก็สนับสนุนให้เกิดความแก่และความตายต่อไป
     และเมื่อชีวิตยังมีอยู่ โสกะ ความโศกเศร้า, ปริเทวะ การร้องให้รำพรรณ, ทุกขะ ทุกข์ที่เกิดขึ้นทางกาย, โทมมนัสะ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นทางใจ, และอุปายาสะ ความทุกข์ใจอย่างรุนแรง ก็จะตามชาติ คือความเกิดมาโดยไม่ต้องสงสัย
     ผู้ศึกษาเล่าเรียนมีความเข้าใจ ก็จะบังเกิดความหวั่นไหวหวาดกลัว ไม่อยากจะเข้าใกล้ชาติ คือความเกิด เพราะเมื่อมีตา มีหู ก็จะต้องเจ็บตาเจ็บหูอย่างแน่นอน หรือมีใจแล้วจะหนีความเจ็บใจไปให้พ้นก็ใช่วิสัยที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นเมื่อมีชีวิตขึ้นมาแล้ว จึงต้องแก้ปัญหาเพราะทุกข์มาบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา ผู้มีปัญญาจึงเพียรพยายามอย่างสุดกำลังที่จะหนีไปให้ไกล และทำลายการเวียนว่ายตายเกิดนี้เสียให้ได้โดยเร็วที่สุด
     พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงการตาย กายเกิด ของสัตว์ทั้งหลายไว้ในแนวทางต่างๆ กัน และปฏิจจสมุปบาทก็เป็นแนวทางหนึ่ง ซึ่งถ้าผู้ศึกษาทำความเข้าใจได้ดีเพียงพอหรือละเอียดลึกซึ้งพอสมควรแล้ว ก็จะเข้าถึงความจริงจนพ้นจากความสงสัยไปได้ โดยอาศัยเหตุผลที่เกี่ยวเนื่องกัน ผู้ศึกษาจนเข้าถึงความจริงว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรจริงแท้แน่นอนเลย มีแต่รูปกับนามเท่านั้นเอง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นเรื่องที่สมมติขึ้นมาแท้ๆ ประชุมกันอยู่ชั่วครู่ชั่วยามแล้วก็สลายไป แต่เมื่อได้เหตุได้ปัจจัยแล้วก็จะเกิดขึ้นมาใหม่ หมุนเวียนกันอยู่ดังนี้
     ความรู้ความเข้าใจดังกล่าว จะช่วยทำลายล้างความเห็นว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ จะมีชีวิตหรือไม่มีก็ตาม มิใช่ว่าเป็นตัวตน เป็นคนเป็นสัตว์ แท้จริงมิได้มีเลย เมื่อมีเหตุมีปัจจัยมาประชุมพร้อมกันมันก็เกิดขึ้น เมื่อหมดเหตุหมดปัจจัยมันก็สลายตัวไป ความเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงไป เป็นอยู่ตลอดเวลาไม่ขาดสาย เหมือนรถยนต์คันหนึ่ง เราตั้งชื่อมันว่าเป็น รถยนต์ ก็เพราะมันมีเหล็กแบบต่างๆ มาประชุมกัน มีเครื่องยนต์ และมียางเข้ามาประกอบ ถ้ารื้อมันออกมาวางไว้คนละที่ มันก็จะมีแต่รูป แต่รถยนต์หายไป
     ผู้ใดได้ศึกษาจนมีความเข้าใจแล้ว ความหลงผิดคือสักกายะทิฏฐิยึดว่าเป็นตัวตน คนหรือสัตว์ ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ ในขณะที่คิดพิจารณา วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในเรื่องตายเรื่องเกิดก็จะค่อยๆ หมดไปจากจิตใจ การยึดถือเอาไว้ผิดๆ ในเรื่องกรรม เรื่องผลของกรรมก็จะสลายตัว จะไม่มีโอกาสหลงเหลืออยู่ได้ ความเห็นว่าเที่ยง, ตายแล้วสูญ เกิดอีกไม่ได้ จะถูกทำลายไป และความเข้าใจว่าชีวิต หรือสิ่งไร้ชีวิตในสากลโลกนี้ต้องมีผู้สร้างก็จะถูกปัญญาเข้าทำลายล้าง และไม่ยึดมั่นถือมั่นผิดๆ อีกต่อไป
     สัตว์ทั้งหลายเมื่อจุติเกิดขึ้น คือถึงแก่ความตายลงแล้ว ถ้ากิเลสอันเป็นเครื่องเศร้าหมองที่ดองอยู่ภายในจิตใจยังคงมีอยู่แล้ว จะหนีจากการปฏิสนธิคือเกิดขึ้นมาอีกในภพใหม่ชาติใหม่อีกไม่ได้ อาจจะต้องเกิดเป็น เปรต อสุรกาย มนุษย์หรือเทวดาก็ได้ แล้วแต่อำนาจของบาปและบุญที่ได้กระทำเอาไว้
     อันการที่สัตว์ทั้งหลายไปบังเกิดอีกในภพใหม่ชาติใหม่นั้น อาศัยกำลังอำนาจของอารมณ์ที่ได้เมื่อตอนใกล้จะถึงแก่ความตายเป็นตัวผลักส่ง หรือเป็นแรงดันให้ต้องเกิดขึ้นมาอีก เหมือนเราจะไปชียงใหม่ อารมณ์ที่ปรากฏภายในจิตใจก็เป็นเชียงใหม่ นักล้วงกระเป๋าก็มีอารมณ์คือกระเป๋าของคนอื่นๆ มาปรากฏในจิตใจแล้วก็ยังไปที่ๆ มีคนสัญจรไปมา ตามรถ ตามเรือ ที่มีผู้คนพลุกพล่าน คนที่มีจิตเป็นกุศลชอบทำบุญให้ทาน ระลึกถึงวัดเป็นอารมณ์เสียก่อนแล้วจึงเดินทางไปวัด
     บรรดาผู้ที่ใกล้จะถึงแก่ความตายก็จะมีอารมณ์มาปรากฏอยู่ต่อหน้า ซึ่งอารมณ์เหล่านี้จะเป็นอารมณ์ที่ดีหรือที่ชั่ว บุญหรือบาปก็ได้ ซึ่งมักจะเป็นอารมณ์ที่ตนได้มีความชำนิชำนาญตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นส่วนมาก เช่น คนที่ชอบยิงนกตกปลา ก็มักจะเห็นไฟลุกเพื่อต้มสัตว์ เห็นอาวุธคือปืนผาหน้าไม้สำหรับใช้ในการฆ่าสัตว์ ก็จะเป็นตัวการสำคัญในการผลักส่งให้ผู้ถึงแก่ความตายต้องมาเกิดในที่ร้อนๆ ในที่ๆ มีความเจ็บปวดมากๆ นั่นก็คือเมืองนรก ถ้าเห็นเป็นบ้านช่องเห็นปราสาทราชวัง เห็นการทำบุญให้ทาน อารมณ์เหล่านี้ก็จะเป็นแรงดันให้เกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดา
อารมณ์ คืออะไร?
     ธรรมดาของคนที่แก่มากๆ ถ้าอยากจะเดินทางไปไหนหรือจะไปมาหาสู่ใคร ก็มักจะต้องพึ่งพาอาศัยเพื่อนคู่ใจให้ไปด้วยกัน เพื่อนคู่ใจของคนแก่ก็คือไม้เท้าที่จะเอาไว้ค้ำยันเพื่อช่วยในการทรงตัว นั่นเอง

     จิตใจของบุคคลทั้งหลายก็เหมือนกับคนแก่ เพราะไม่มีความสามารถด้วยตนเองที่จะเกิดขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีผู้ช่วยเหลือแล้วก็จะเกิดขึ้นมาเองไม่ได้เลย ด้วยเหตุที่ว่าจิตใจนั้นมิได้เกิดขึ้นมาด้วยการดลบันดาลของใคร ทั้งมิใช่เป็นสิ่งกายสิทธิ์ที่จะมีสิทธิพิเศษอะไรด้วย
     จิตใจนั้นจะเกิดขึ้นมาได้ก็จะต้องอาศัย "เหตุ" ซึ่งเป็นไปตามหลักการของธรรมชาติ เหตุให้เกิดจิตใจมีหลายเหตุด้วยกัน แต่เหตุหนึ่งนั้นก็ได้แก่ "อารมณ์" นั่นเอง
     ในปัฏฐานนุทเทสทีปนี แสดงว่า
     "จิตฺเจตสิโกหิ อาลมฺทิตพฺพฏฺเฐน อารมฺมณํ" แปลว่า สภาวะที่สามารถยังให้จิตและเจตสิกธรรมข้องได้นั้นชื่อว่า อารมณ์ ฉะนั้นเมื่อถามว่า อารมณ์คืออะไร ก็ตอบคำถามนี้ได้ว่า อารมณ์คือธรรมชาติที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของจิตหรือจะพูดให้ง่ายขึ้นอีก ก็ว่า อารมณ์ คือธรรมชาติที่จิตใจเข้าไปยึดจับนั่นเอง
     อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีอารมณ์อยู่แล้ว และอารมณ์มาปรากฏอยู่ต่อหน้าก็ตาม จิตก็จะเกิดขึ้นมาไม่ได้เลยเป็นอันขาด ถ้าไม่มีสถานที่ๆ จะให้มันเกิด ไม่มีสถานที่ทำงาน ไม่มีทวาร หรือไม่มีประตู จิตจะทำงานได้อย่างไรเล่า ฉะนั้น
๑. รูปารมณ์ อันได้แก่คลื่นของแสงที่มากระทบตา เป็นตัวการให้จิตเจตสิกยึดจับ จึงเป็นอารมณ์ทางตา ก่อให้เกิดความรู้สึก "เห็น"
๒. สัททารมณ์ อันได้แก่คลื่นของเสียงที่มากระทบหู เป็นตัวการให้จิตเจตสิกยึดจับ จึงเป็นอารมณ์ทางหู ก่อให้เกิดความรู้สึก "ได้ยิน"
๓. คันธารมณ์ อันได้แก่กลิ่นที่มากระทบจมูก เป็นตัวการให้จิตเจตสิกยึดจับ จึงเป็นอารมณ์ทางจมูก ก่อให้เกิดความรู้สึก "ได้กลิ่น"
๔. รสารมณ์ อันได้แก่รสที่มากระทบลิ้น เป็นตัวการให้จิตเจตสิกยึดจับ จึงเป็นอารมณ์ ทางลิ้น ก่อให้เกิดความรู้สึก "รู้รส"
๕. โผฏฐัพพารมณ์ อันได้แก่การสัมผัสทางกายกับสิ่งที่มากระทบ เป็นตัวการให้จิตเจตสิกยึดจับ จึงเป็นอารมณ์ทางกาย มีความรู้สึกว่า อ่อนหรือแข็ง เป็นต้น
๖. ธรรมารมณ์ อันได้แก่การสัมผัสทางใจ จากตัวการที่มากระทบใจหลายอย่าง คือ ปสาทรูป ๕ สุขุมรูป ๑๖ จิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ นิพพาน บัญญัติ เป็นตัวการให้จิตเจตสิกยึดจับ จึงเป็นอารมณ์ทางใจ ก่อให้เกิดความรู้สึกคิดนึกขึ้น
     ความจริงจิตเกิดขึ้นที่ไหน ก็จะดับลงที่นั่น และอารมณ์ก็จะดับลง ณ ที่นั่นด้วย จิตดวงที่ปฏิสนธิเป็นจิตอีกดวงหนึ่งที่สืบต่อไปต่างหาก หาใช่เป็นดวงเดียวกันได้ไม่ เพราะว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะไม่เกิด ไม่ดับ หรือไม่เปลี่ยนแปลงไป ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ไม่เป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา
     แต่เมื่อจิตดวงหนึ่งดับลงแล้ว ก็มีปัจจัยหลายประการสนับสนุนให้เกิดจิตดวงต่อไป สิ่งต่างๆ เช่น บุญ บาป อัธยาศัยใจคอ ทุกอย่างที่สั่งสมเอาไว้ก็สืบต่อไปยังจิตดวงใหม่ในชาติใหม่
     เมื่อบุคคลใดใกล้จะถึงแก่ความตาย ก็จะเกิดกรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ หรือคตินิมิตอารมณ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง
     อารมณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งสุดท้ายของชีวิตนี่เอง ที่เป็นตัวการส่งให้เกิดการปฏิสนธิขึ้น
     จิต เจตสิก และกรรมชรูปที่เกิดขึ้นยังภพใหม่ชาติใหม่นี้ เรียกว่า ปฏิสนธิ เป็นจิต เจตสิก และกรรมชรูป ที่สืบต่อมาจากจุติจิตในภพชาติที่แล้วมา
     ความพิสดารของเรื่องการตายการเกิดมิใช่เรื่องเล็กน้อยเลย ด้วยเหตุนี้ในสมัยพุทธกาลพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังคงดำรงพระชนม์อยู่ เมื่อมีผู้ถามถึงเรื่องนี้ บางทีพระองค์ก็นิ่งเฉยเสีย ทั้งนี้ก็เพราะพระองค์ทราบวาระจิตของผู้ถามดีว่าไม่มีความสามารถที่จะเข้า ถึงความจริงในเรื่องที่ลึกซึ้งเหล่านี้ได้ และความเชื่อของท่านผู้นั้นเป็นสัสสตทิฏฐิ(เห็นว่าเที่ยง) สืบต่อมาตั้งแต่อดีตชาติ มีความเหนียวแน่นในความคิดเห็นว่า คนตายแล้วจิตใจล่องลอยไปเกิด ถ้าพระองค์ยอมรับความเกิดในชาติหน้าโดยมิได้ให้หลักการและเหตุผลอย่าง ละเอียด ท่านผู้นั้นก็จะอาศัยคำรับรองจองพระองค์ออกไปเป็นเครื่องมือสนับสนุนความ เห็นผิดของตนให้หนักยิ่งขึ้น ความเสียหายก็จะขยายออกไปอย่างกว้างขวาง
     นอกจากนั้นพระองค์ก็ทราบในวาระจิตของผู้ถามบางท่านดีว่า มิได้เป็นผู้ที่มีความปรารถนาที่จะทราบเรื่องการตายการเกิดนี้อย่างจริงใจ หากแต่ต้องการจะฉกฉวยโอกาสที่จะแสดงวาทศิลป์อันคมกล้าของตนให้เป็นที่ ประจักษ์แก่ผู้อื่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบความคิดอ่านนี้ดีว่าติดตัวมาหลายชาติแล้ว จึงมิได้โต้ตอบให้เสียเวลา