
ตามหลักของพระพุทธศาสนา
แล้ว เรื่องของการเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง เรื่องของภพภูมินั้นก็มีจริง เริ่มจากภูมิของมนุษย์ ภพภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์ลงไปมี ......
๑. ภูมิของสัตว์ดิรัจฉาน
๒. ภูมิของเปรต
๓. ภูมิของอสูรกาย
๔. ภูมิของสัตว์นรก
ส่วนภพภูมิที่สูงกว่ามนุษย์ขึ้นไปตามลำดับนั้นก็มี......
๑. ภูมิของเทพเทวดา
๒. ภูมิของรูปพรหมและอรูปพรหม
๓. ภูมิของพระโสดาบัน
๔. ภูมิของพระสกทาคามี
๕. ภูมิของพระอนาคามี
๖. ภูมิของพระอรหันต์
๗. ภูมิของพระนิพาน
ร่างกายของมนุษย์มาจากไหน? มาจากไข่ของแม่ที่สุกสมบูรณ์ ถูกเชื้ออสุจิของพ่อที่แข็งแรงเข้าผสม หลังจากนั้นมี ดวงจิต หรือ ดวงวิญาณ ของสัตว์จากภูมิต่างๆที่ดับ ( ตาย
หมดบุญ หมดกรรม ) แล้วเข้ามาผสมด้วย จึงถือว่าการเกิดได้เกิดขึ้นแล้วอย่างสมบูรณ์ เรียกว่า " การปฏิสนธิวิญญาณ " หลังจากนั้นก็พัฒนาการทางด้านรูปร่างอยุ่ในท้องแม่ ๙ เดือน แล้วคลอดออกมาเป็นทารก จากทารกเป็นเด็ก จากเด็กเป็นวัยรุ่น จากวัยรุ่นเป็นผู้ใหญ่ จากผู้ก็เข้าสู่วัยชรา เมื่อแก่แล้วก็เจ็บป่วย หลังจากนั้นก็ตาย เมื่อตายร่างกายก็นำไปฝังหรือเผา ส่วนดวงจิตหรือดวงวิญญาณนั้นก็ไปเกิดภพภูมิใหม่ต่อไป จิตจะไปเกิดที่ภพภูมิไหนทุกข์หรือสุข ก็ขึ้นอยู่กับผลการกระทำความ
ดีหรือความชั่วว่าอันไหนมีมากกว่ากัน ถ้ามีส่วนของความดีมากก็จะส่งให้ดวงจิตหรือดวงวิญญาณดวงนั้นไปเกิดในภพภูมิที่มีแต่ความสุขและดวงจิตหรือดวงวิญญาณนี้ก็จะไปอยู่ในร่างใหม่ต่อไปคือ เทพเทวดา พรหมเป็นต้น ถ้าส่วนของความไม่ดีมีมาก ก็จะส่งให้ดวงจิตหรือดวงวิญญาณดวงนั้นไปเกิดที่ๆมีแต่ทุกข์เวทนา เช่น เกิดในร่างของสัตว์นรก ร่างของอสูรกาย ร่างของเปรตและในร่างของสัตว์ดิรัจฉาน เช่น หมู เป็ด ไก่ กุ้ง หอย ปู ปลา ช้าง ม้า วัว ควาย มด แมลง หนอนใน
น้ำสกปรกมูตรคูตต่างๆ ไม่ว่าดวงจิตหรือดวงวิญญาณจะไปเกิดที่ไหน ในร่างของอะไร เมื่อหมดวาระก็ต้องไปเกิด โอนย้ายถ่ายเทไปอยู่ภพภูมิใหม่ในร่างใหม่ต่อไปไม่รู้จบสิ้น ถ้าหากดวง
จิตหรือดวงวิญญาณดวงนั้น ไม่สามารถเข้าสู่ภูมิของพระนิพพานได้ ดวงจิตหรือดวงวิญญาณไม่มีวันที่จะแตกดับหรือสูญหาย มนุษย์หรือสัตว์โลกเมื่อดับหรือตายแล้วจะเกิดทันที ไปเกิดที่ .........
๑. ไปเกิดในครรภ์
๒. ไปเกิดในไข่
๓. ไปเกิดในเถ้าไคล น้ำสกปรกมูตรคูต
๕. ไปเกิดเป็นโอปปาติกะ
โอปปาติกะ คือ พวกที่มีรูปร่างเป็น กายทิพย์ กายทิพย์ไม่สามรถมองเห็นด้วยตาของเราได้ จะเห็นได้ด้วย ตาทิพย์ เท่านั้น พวกโอปปาติกะได้แก่ พระภูมิเจ้าที่ เจ้าป่าเจ้า
เขา รุกขเทวดา อากาศเทวดา ภูมิเทวดา พระอินทร์ พระพรหม สัมภเวสี วิญญาณแร่ร่อน ฯลฯ ยกเว้นมนูษย์กับสัตว์ดิรัจฉานไม่ใช่โอปปาติกะเพราะ มีร่างกายจับต้องและเห็นได้ด้วย
ตาธรรมดาของเรา ( ตาเนื้อ )
ทำไมดวงจิตหรือดวงวิญญาณจึงตามหรือมาแฝงอยู่กับตัวเรา มีหลายสาเหตุหลายประการ แต่ที่พบบ่อยที่สุดคือ ต้องการความช่วยเหลือมากกว่า หลังจากคนหรือมนุษย์ได้ตายแล้ว ไม่ว่าจะหมดอายุขัยหรือไม่ก็ตาม สังเกตุดูก่อนเผาศพหรือเอาศพเข้าโลง จะถูกสัปปะเหร่อเอาด้ายมัดตราสังศพเอาไว้ ทำเพื่อไม่ให้วิญญาณของผู้ตายไปรบกวนเขา นั่นคือการสะกดวิญญาณไว้แล้ว เพราะบางวิญญาณหวงร่างตัวเอง คิดว่าตัวเองไม่ตายหรือจะฟื้นกลับเข้าร่างอีก เมื่อถูกสะกดดวงจิตและ
ดวงวิญญาณก็ไปภพภูมิที่ดีๆไม่ได้ ต้องเป็นวิญญาณแร่ร่อนต่อไป
ถ้าหากเป็นวิญญาณจากการตายโหงหรือตายท้องกลม พวกหมอไสยเวทย์ไสยศาสตร์ ก็ใช้มนต์สะกดเรียกดวงวิญญาณเอาไว้ไปใช้งาน ที่วิญญาณตามหรือแฝงเราเพราะเขาต้องการ
ความช่วยเหลือจากเราในเรื่องของบุญกุศล วิญญาณตามหรือแฝงเราเพราะถูกเขาทำคุณไสยมนต์ดำใส่เรา วิญญาณตามหรือแฝงเพราะฝ่ายตรงข้ามต้องการสอดแนมหาข้อมูลจากเรา ( พราย
กระซิบ ) วิญญาณตามหรือแฝงเพราะแรงอาฆาตแรงพยาบาตเช่น วิญญาณจากการตกเลือดหรือทำแท้ง การยิงกันฆ่ากัน การทำให้ตรอมใจตาย ตายเพราะพิษรักแรงหึง อย่าว่าแต่วิญญาณธรรมดาถูกสะกดเลย แม้แต่เทพ - เทวดา ยังถูกสะกดเลย เมื่อมีวิญญาณแฝงหรือวิญญาณตามย่อมมีผลเสียและอิทธิพลกับเราแน่นอน ดวงจิตที่มีแรงอาฆาตพยาบาตเป็นพลังที่ไม่ดี ดวงจิตดวงวิญญาณที่ถูกคูณไสยมนต์ดำก็เป็นพลังงานที่ไม่ดี จะมีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย สถานภาพของครอบครัว การงาน การเงิน ผลกระทบกับคนที่อยู่รอบข้างเรา ที่เราเรียกว่า " ผี " นั้นคือ ดวงจิตดวงวิญญาณของคนที่เขาตายไปแล้ว เขามาทำให้เราเห็นหรือมาเข้าฝัน แสดงว่าเขาต้องการความช่วยเหลือหรือจะบอกหรือพูดคุยอะไรกับเราสักอย่างหนึ่งเท่านั้น บางที่เขาตกทุกข์ได้ยากลำบาก แต่การมาของเขากลัวเราจะจำไม่ได้ก็เลยมาในรูปของร่างกายครั้งสุดท้ายก่อนตายหรือขณะที่ตาย
ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกนะ .........