การทำบุญมีลำดับแห่งผล
เรื่องราวเกี่ยวกับกรรมดีนั้นมีลำดับผลบุญ
จึงขอนำเรื่องราวใน
เวลามสูตร : เปรียบเทียบผลบุญชนิดต่างๆ
ที่มา : พระไตรปิฎก พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
เนื่องจากเวลามสูตรนี้ เป็นพระสูตรที่มีเนื้อหาบางตอนที่เข้าใจได้ค่อนข้างยาก ผู้ดำเนินการจึงได้ทำการสรุป โดยนำเอาเนื้อหาที่สำคัญมาจัดเรียงแยกเป็นข้อๆ เพื่อให้ง่ายในการทำความเข้าใจ ดังนี้
พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ณ พระวิหารเชตวัน ใกล้พระนครสาวัตถี แคว้นโกศล ถึงผลบุญที่เกิดขึ้น จากการทำบุญประเภทต่างๆ ตั้งแต่การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา (คำว่าบุญนั้น คือการชำระจิตให้ผ่องใสจากกิเลส มีหลายวิธี ไม่ใช่เฉพาะการให้ทานเท่านั้น) ว่าอย่างไหนให้บุญมาก/น้อย แตกต่างกันอย่างไร มีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า : บุคคลให้ทานอันเศร้าหมอง หรือประณีตก็ตาม (ในที่นี้หมายถึงการให้ของที่มีราคาถูกมีสภาพไม่น่าดู หรือของที่มีราคาแพงประณีตสวยงาม เพราะในตอนนั้นท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ประสบภัยพิบัติหลายอย่าง ทำให้ฐานะยากจนลง ไม่สามารถทำบุญด้วยอาหารชั้นดีได้อย่างเมื่อก่อน ทำได้แค่เพียงปลายข้าวกับน้ำผักดองเท่านั้น ) แต่ให้ทานนั้นโดยความเคารพ ทำความนบนอบให้ ให้ด้วยมือตนเอง ให้ของที่ไม่เหลือ เชื่อกรรมและผลของกรรม ย่อมได้ผลบุญมาก
และได้ทรงแจกแจงรายละเอียดของผลบุญจากการทำบุญชนิดต่างๆ ไว้ดังนี้
- การให้ทานโสดาบันท่านเดียว ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานแก่ปุถุชนจำนวนมาก
- การให้ทานโสดาบัน 100 ท่าน ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานโสดาบันท่านเดียว
- การให้ทานสกทาคามีบุคคลท่านเดียว ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานโสดาบัน 100 ท่าน
- การให้ทานสกทาคามีบุคคล 100 ท่าน ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานสกทาคามีบุคคลท่านเดียว
- การให้ทานอนาคามีบุคคลท่านเดียว ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานสกทาคามีบุคคล 100 ท่าน
- การให้ทานอนาคามีบุคคล 100 ท่าน ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานอนาคามีบุคคลท่านเดียว
- การให้ทานพระอรหันต์ท่านเดียว ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานอนาคามีบุคคล 100 ท่าน
- การให้ทานพระอรหันต์ 100 ท่าน ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานพระอรหันต์ท่านเดียว
- การให้ทานพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์เดียว ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานพระอรหันต์ 100 ท่าน
- การให้ทานพระปัจเจกพุทธเจ้า 100 พระองค์ ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์เดียว
- การให้ทานพระสัพพัญญูพุทธเจ้าพระองค์เดียว ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานพระปัจเจกพุทธเจ้า 100 พระองค์
- การให้ทานภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข (สังฆทาน - การให้ทานโดยไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นภิกษุรูปนั้นรูปนี้) ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานพระสัพพัญญูพุทธเจ้า
- การสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจากทิศทั้ง 4 (ให้โดยไม่เจาะจงผู้รับว่าต้องเป็นภิกษุรูปนั้นรูปนี้) ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
- การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ ได้ผลบุญมากกว่า การสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจากทิศทั้ง 4
- การรักษาศีล 5 ได้ผลบุญมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ
- การเจริญเมตตาจิต (เป็นการทำสมาธิรูปแบบหนึ่ง) แม้เพียงเวลาสูดดมของหอม ได้ผลบุญมากกว่าการรักษาศีล 5
- การเจริญอนิจจสัญญาแม้เพียงลัดนิ้วมือ (การเจริญอนิจจสัญญาคือการพิจารณาถึงความไม่เที่ยง ซึ่งเป็นการเจริญวิปัสสนาอย่างหนึ่ง เพียงลัดนิ้วมือคือเพียงเท่าเวลาที่ดีดนิ้วมือ 1 ครั้ง) ได้ผลบุญมากกว่าการเจริญเมตตาจิตแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม
หมายเหตุ
พระพุทธเจ้ามี 2 ประเภทคือ
1.) พระปัจเจกพุทธเจ้า - ตรัสรู้สัจธรรมได้เองโดยไม่ได้ฟังคำสอนจากใคร แต่สอนผู้อื่นให้รู้ตามไม่ได้ จะอุบัติขึ้นในช่วงที่โลกว่างเปล่าจากศาสนา
2.) พระสัพพัญญูพุทธเจ้า - ตรัสรู้สัจธรรมได้เองโดยไม่ได้ฟังคำสอนจากใคร และสามารถสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้ด้วย เช่น พระพุทธเจ้าที่เรารู้จักกันทั่วไป
ข้อสังเกต
- การเจริญวิปัสสนาจะได้บุญมากกว่าอย่างอื่น เพราะเป็นการฟอกจิตให้หมดจดจากกิเลสได้มากที่สุด ซึ่งถ้าทำได้ถึงขั้นสูงก็จะทำลายกิเลสได้อย่างถาวร และเมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ก็จะเป็นบุญขั้นสูงที่สุด
- การทำสมาธิจะได้บุญรองลงมา เพราะเป็นการกั้นจิตจากนิวรณ์ได้ตราบเท่าที่สมาธิยังอยู่ (ดูเรื่องนิวรณ์ 5 และวิธีแก้ไข ในหมวดสมถกรรมฐาน (สมาธิ) ประกอบ)
- การรักษาศีลจะได้บุญรองจากการทำสมาธิ เพราะเป็นการขัดเกลาจิตจากกิเลสขั้นหยาบ คือการล่วงละเมิดทางกายและทางวาจา
- การมีจิตเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ คือการหันมานับถือพระพุทธศาสนา ให้ผลบุญมากเพราะเป็นการหันมารับเอาความเห็นที่ถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ) ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาจิตด้วยวิธีการทั้งปวง
- การให้ทานแก่สงฆ์ (สังฆทาน) จะได้บุญมากกว่าการให้ทานแบบเจาะจงตัวผู้รับ เพราะใจเปิดกว้างกว่า (ต้องไม่เจาะจงตัวผู้รับด้วยใจที่แท้จริงถึงจะได้บุญมาก)
- การให้ทานแบบเจาะจงตัวผู้รับนั้น จะให้ผลบุญลดหลั่นกันไปตามขั้นของความบริสุทธิ์ของจิตของผู้รับ (ดูเรื่องอริยบุคคล 8 ประเภท ในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ประกอบ
กรรมที่ทําให้ฐานะร่ำรวย

รวยเพราะอยู่ในบ้านคนรวย รวยด้วยมรดกจากญาติ หรือรวยด้วยตนเอง แม้ดูภายนอกเหมือนทรัพย์สินเงินทองมากมายก่ายกองเหมือนกัน แต่ความเป็นตัวของตัวเองต่างกัน ความรู้สึกภูมิใจในตนเองต่างกัน ความสามารถในการหาเงินเพิ่มก็ต่างกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการเอาตัวรอดเมื่อของเก่าหมดไปจะต่างกันมาก เราจึงควรลงลึกทั้งเหตุเก่าและเหตุใหม่ ไม่ใช่เน้นแค่คำถามที่ว่า "ชาติก่อนเคยทำบุญอะไรมาจึงรวย?"
พุทธพจน์
เรากล่าวว่าแม้ผู้ใดสาดน้ำล้างภาชนะหรือน้ำล้างขันไปที่บ่อน้ำครำหรือในบ่อโสโครกข้างประตูบ้านซึ่งมีสัตว์อาศัยอยู่ ด้วยความตั้งใจว่าสัตว์ที่อาศัยแหล่งน้ำนั้น จะดำรงชีพอยู่ได้ด้วยเศษอาหารในภาชนะ ก็เป็นเหตุ เป็นที่มาแห่งบุญแล้ว
(ชัปปสูตร)
๑) ให้ทานแก่สัตว์เดรัจฉาน พึงหวังผลร้อยเท่า
๒) ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล พึงหวังผลพันเท่า
๓) ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล พึงหวังผลแสนเท่า
๔) ให้ทานในบุคคลนอกศาสนาพุทธผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม พึงหวังผลหลายล้านเท่า
๕) ให้ทานในผู้เพียรเจริญสติเพื่อบรรลุมรรคผลขั้นแรก พึงหวังผลอันนับประมาณไม่ได้
(ทักขิณาวิภังคสูตร)
ทาน ๕ ประการต่อไปนี้ เป็นมหาทาน เป็นเชื้อสายแห่งพระอริยะ ไม่มีบัณฑิตใดรังเกียจ คือ เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่า เป็นผู้เว้นขาดจากการยักยอกทรัพย์ เป็นผู้เว้นขาดจากการผิดลูกเขาเมียใคร เป็นผู้เว้นขาดจากการโกหก และเป็นผู้เว้นขาดจากการดื่มน้ำเมา เมื่อเว้นขาดโดยประการทั้ง ๕ นี้ ย่อมได้ชื่อว่าให้ความไม่มีภัย ความไม่มีเวร ความไม่เบียดเบียนแก่สัตว์หาประมาณมิได้
(ปุญญาภิสันทสูตร)
ใครมีศีล รักษาศีลได้บริบูรณ์ กองสมบัติเป็นอันมากย่อมบังเกิดขึ้้นแก่คนนั้น เพราะความไม่เป็นผู้ประมาท
(มหาปรินิพพานสูตร)
๑) ผู้ใดเข้าหาสมณะแล้วเปิดโอกาสให้ท่านขอสิ่งที่ประสงค์ แต่กลับไม่ถวายสิ่งใดเลย เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้นกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าทำการค้าขายอย่างใดๆจะขาดทุน
๒) ผู้ใดเข้าหาสมณะแล้วเปิดโอกาสให้ท่านขอสิ่งที่ประสงค์ แต่กลับไม่ถวายเท่าที่ท่านประสงค์ เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้นกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าทำการค้าขายอย่างใดๆจะไม่ได้กำไรตามที่คาดหวัง
๓) ผู้ใดเข้าหาสมณะแล้วเปิดโอกาสให้ท่านขอสิ่งที่ประสงค์ แล้วถวายท่านครบตามประสงค์ เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้นกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าทำการค้าขายอย่างใดๆจะได้กำไรตามคาด
๔) ผู้ใดเข้าหาสมณะแล้วเปิดโอกาสให้ท่านขอสิ่งที่ประสงค์ แต่กลับถวายเกินความประสงค์ เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้นกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าทำการค้าขายอย่างใดๆจะได้กำไรเกินความคาดหมาย
(วณิชชสูตร)
สำหรับชาวบ้านที่ยังบริโภคกาม อยู่ครองเรือน นอนเบียดบุตร ใช้เครื่องหอม และยังยินดีในเงินทองอยู่ ธรรม ๔ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขในปัจจุบัน คือ ขยันทำงานหาทรัพย์ รักษาทรัพย์ที่ได้มาให้ดี รู้จักเลือกคบคนมีธรรมะ และใช้ชีวิตให้เหมาะกับระดับทรัพย์สินที่มี
(ทีฆชาณุสูตร)
มุมมองอันควรได้จากพุทธพจน์
เรามาตกลงกันว่า "รวย" ในที่นี้หมายถึงมีมากกว่า ซื้อหาข้าวของได้พิเศษกว่า และระดับชีวิตถูกยกขึ้นเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป เช่น อยู่ในบ้านเรือนโอ่โถง มีรถงามสง่า ชนิดที่ไม่ใช่ใครๆอยากซื้อก็ซื้อได้ หากถามว่าทำกรรมอะไรมาถึงรวยเป็นพิเศษ คำตอบตรงตัว คือ ทำกรรมด้วยอาการเผื่อแผ่ มีใจที่กว้าง เป็นไปในทางช่วยเหลือผู้อื่นเป็นพิเศษ และบ่อยครั้งกว่าคนทั่วไป
และต่อให้เงินไหลเข้ากระเป๋าราวกับฝนตกใส่ฟรีๆ แต่เราปล่อยให้เทออกเหมือนน้ำป่าไหลบ่าไป มันก็ไม่เหลือ จึงต้องทำความเข้าใจว่ามีบุญเก่าเกื้อให้รวยก็นับว่าดี ถือเป็นมงคลชีวิตแล้ว แต่ก็ควรประกอบกรรมใหม่ที่เป็นมงคลด้วย จึงจะรวยจริง รวยนาน ไม่ใช่รวยช่วงเดียวแล้วลำบากยาว
ปัจจุบันมีการประโคมกันว่าพระพุทธเจ้าให้คาถามหาเศรษฐี อุ อา กะ สะ ซึ่งหมายถึงขยันหาทรัพย์ รู้จักรักษาทรัพย์ คบมิตรดี และใช้ชีวิตให้เหมาะกับฐานะ ความจริงก็คือพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงรับประกันว่าทำตาม ๔ ข้อนี้แล้วจะได้ร่ำรวย แต่ท่านตรัสว่าทำตามแล้วคนจนจะสุขสบายตามฐานะ ส่วนคนรวยก็จะไม่ถึงความวอดวายล่มจม
ความรู้สึกทางใจเป็นเครื่องวัดความรวยความจนที่เที่ยงตรงกว่าเงินทอง กล่าวเช่นนี้เพราะอะไร? เพราะถึงมีเงินน้อยแต่จ่ายเป็น เผื่อแผ่เป็น ก็ดูดีมีสง่าราศีเหมือนคนรวยได้ ตรงกันข้าม มีเงินมากแต่จ่ายไม่เป็น ทำบุญทำทานไม่ถูก ใจก็แผ่ "รังสีอัตคัด" ออกมาเหมือนขอทานได้
ใจเหมือนขอทานเป็นอย่างไร? คือใจที่มีแต่จะเอาเข้าตัว ให้คนอื่นไม่เป็น เรียกร้องความสงสารจากผู้อื่น แต่ไม่แม้แต่จะเห็นใจใครเลย จิตขอทานย่อมไม่เหมาะกับสภาวะเศรษฐีเป็นแน่แท้ ตามกฎแห่งความยุติธรรมของกรรมวิบาก
และเมื่อชีวิตคนรวยยังไม่จบ ก็ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าจะรวยไปทั้งชาติ แม้มีรวยระดับโลก แถมจ้างสำนักงานบริหารการเงิน แต่คบมิตรชั่วที่ชักชวนผลาญเงินในทางไม่สร้างสรรค์ ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ไม่ก่อให้เกิดบุญญาบารมีและสติปัญญา ไม่นานก็จะตกอยู่ในสภาพชักหน้าไม่ถึงหลัง เพราะเงินมากยิ่งประมาทมาก นึกว่าจ่ายได้ก็จ่ายเลย หลายๆครั้งเข้าก็กลายเป็นยอดรวมที่จ่ายไม่ได้ขึ้นมา
กรณีศึกษาทำนองนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ถ่ายทอดความเข็ดหลาบให้แก่กันไม่ได้ ต้องเจอเองจึงสำนึก และบทจะสำนึกจริงจังขึ้นมา สำหรับบางคนก็สายเกินกว่าจะกู้เอาฐานะรวยล้นฟ้ากลับคืนเสียแล้ว ได้แต่เอาสภาพรวยหนี้ระดับโลกไปแทน พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่านอกจากขยันและหมั่นเก็บ ยังต้องรู้จักเลือกคบมิตรด้วย ใช้ชีวิตให้สมระดับฐานะด้วย จึงจะคงความมั่งคั่งไว้ได้ตลอดไป พูดอีกนัยหนึ่งคือหวังกินบุญเก่าอย่างเดียวไม่พอ บุญใหม่ต้องหามาเติมด้วย
กรรมในการให้ทาน
พุทธศาสนาเรามีขึ้นมาเพื่อบอกความจริง ไม่ใช่เพื่อให้ความหวังลมๆแล้งๆ และความจริงที่พุทธศาสนาบอกเราก็คือ ถ้าอยากเห็นผลของทานอันยิ่งใหญ่ในชาติถัดไป ชาตินี้คุณจะต้องมีน้ำใจยิ่งใหญ่ไปจนตาย ไม่ใช่ให้ทานเหมือนลงทุนเก็งกำไรหนสองหน ปีนี้บริจาคสามร้อย ปีหน้าหวังดอกเบี้ยงอกเป็นสามล้าน
การให้ทานที่หวังผลได้ในปัจจุบัน คือ ยิ่งให้เท่าไร ยิ่งเห็นชัดว่าชาตินี้รวยน้ำใจขึ้นเท่านั้น และถ้าน้ำใจมาก น้ำหนักความสุขก็จะเพิ่มขึ้นอย่างเป็นสัดเป็นส่วนกัน น้ำใจอาจพัดเงินให้ไหลมาเทมาได้ แต่อย่าคาดหวังว่าจะรวยขึ้นกว่าเดิมเป็นสิบเป็นร้อยเท่า เพราะกรรมเก่าขีดเส้นมาแล้วว่าชาตินี้คุณมีสิทธิ์รวยได้ประมาณไหน ไม่เกินพิกัดเท่าใด
ถ้าจะตั้งความหวังเกี่ยวกับความมั่งคั่งอันงอกเงยจากผลของทาน ก็ขอให้คิดอย่างนี้ว่า น้ำใจเป็นสิ่งที่เพิ่มได้ไม่จำกัด และนั่นก็จะเป็นเหตุให้ชาติถัดไปรวยได้ไม่จำกัดเช่นกัน
ที่ตรงนี้ เราควรมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสแนะวิธีทำทานให้ได้ผลใหญ่ไว้อย่างไร แต่ละข้อต่อไปนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าล้วนส่งเสริมให้ได้ใช้ชีวิตบนกองเงินกองทองทั้งสิ้น
๑) ให้ทานด้วยความศรัทธา คือ รู้สึกดีที่ให้ เพราะอยากให้ และให้สำเร็จ กับทั้งเชื่อมั่นว่าเมื่อให้แล้วมีความสุขในปัจจุบัน ผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็ต้องเป็นสุขเช่นกัน
๒) ให้ด้วยความเคารพ คือ มีความรู้สึกอยู่ว่าการทำทานเป็นของสูง ไม่ใช่ของต่ำ จึงไม่ควรโยนให้หรือเสือกไสให้เหมือนเป็นของเหลือเดน การถวายทานแด่สงฆ์จัดเป็นการฝึกใจให้ทำทานด้วยความเคารพได้อย่างดี เพราะรู้สึกอยู่ว่าท่านใช้ชีวิตที่สะอาดสูงส่งกว่าเรา
๓) ให้โดยกาลอันควร คือให้อย่างรู้จักความเหมาะสมกับสถานการณ์ในเวลาหนึ่งๆ เช่น เมื่อเห็นพระตาแดง ก็ขวนขวายเป็นธุระหายาหยอดตามาให้ท่าน เห็นวัดมีทางโคจรของพระที่เฉอะแฉะ ก็ร่วมแรงร่วมใจกันทำทางให้แห้งหรือเทปูนให้พวกท่าน เป็นต้น
๔) ให้ด้วยจิตอนุเคราะห์ คือให้ด้วยความปรารถนาจะช่วยให้ผู้รับเกิดประโยชน์ หรือผ่อนหนักเป็นเบาให้กับเขาอย่างแท้จริง จิตที่คิดให้ด้วยความอนุเคราะห์จะช่วยให้เราเกิดใหม่เป็นคนรวยอย่างมีรสนิยม รู้จักเลือกหา รู้จักแต่งเติมชีวิตให้เลิศสุขยิ่งๆขึ้นไป ไม่ใช่เงินเก็บเยอะแต่บ้านช่องดูแย่มาก
๕) ให้โดยไม่กระทบตนและผู้อื่น คือให้โดยไม่ประชด ให้โดยไม่แข่งขันชิงดี ให้โดยไม่คิดเอาหน้าเกินใคร บางคนทำบุญแบบเกทับกัน เห็นเขาออกก่อนห้าร้อย เลยรีบหยิบแบงก์พันขึ้นมาสู้ จิตมีอาการคิดเบ่ง คิดทำให้เขาเสียหน้าหรือน้อยหน้า นี่เรียกว่าให้แบบกระทบผู้อื่น แต่ถ้าให้ในแบบที่ช่วยให้ทุกคนสบายใจ ถึงเวลาที่บุญเผล็ดผล ก็จะรวยอย่างสบายใจ ไม่ถูกความรวยรบกวนจิตใจมาก
การให้ทานกับสัตว์เป็นของดี เป็นการให้ทานขั้นพื้นฐานที่ควรฝึก เพราะโดยมากเราจะไม่หวังการตอบแทนในทางใดๆจากสัตว์ โดยเฉพาะถ้าเป็นสัตว์ข้างถนน หรือสัตว์ในน้ำที่ไม่มีใครสนใจ หากฝึกให้ด้วยใจคิดอนุเคราะห์ ให้ด้วยความอ่อนโยน คุณจะรู้จักรสสุขของการให้ที่แท้ ให้เขาไป เหมือนได้เข้าตัวเราเอง ความรู้สึกทำนองนั้นชี้ว่าสัญชาตญาณรู้ผลกรรมเริ่มเกิด ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้ข้าวเขาก็เหมือนให้ข้าวตัวเอง
แม้ความอยากให้เพียงเศษอาหารติดจานข้าวไปกับสัตว์ในบ่อน้ำใกล้ๆ ก็มีผลคูณได้เป็นร้อยเท่า สมมุติให้เข้าใจง่ายคือถ้าสัตว์ในบ่อกำลังหิวแล้วได้กินเศษอาหารติดน้ำที่เราสาดไป ในที่ที่บุญนี้เผล็ดผล เรากำลังหิวอยู่ ก็อาจมีคนนำอาหารอย่างดีมาวางให้ตรงหน้าด้วยความสงสาร นั่นนับเป็นร้อยเท่าของเหตุที่เราเคยทำแล้ว
ในการให้ทานด้วยใจบริสุทธิ์แบบไม่เลือกหน้า ไม่แบ่งชั้นวรรณะนั้น นับว่าดีที่สุด คือ ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นสัตว์ข้างถนน ขอทาน ผู้มีศีล ตลอดจนผู้เพียรเพื่อเข้าถึงมรรคผลนิพพาน เส้นทางนักทำทานจะพาคุณไปพบพวกท่านแบบไต่ลำดับไปเอง เพราะใจที่เปิดกว้าง เป็น "ทานจิต" เต็มดวง ย่อมคู่ควรกับผู้รับแม้ระดับอรหันต์
ผู้รับมีส่วนขยายผล ไม่ใช่ไม่มี อย่านึกว่าเท่ากัน เปรียบเหมือนตีฆ้องเล็กด้วยกำลังแรงขนาดหนึ่ง ถ้าเอากำลังแรงขนาดนั้นไปตีฆ้องที่ใหญ่กว่าหลายเท่า เสียงออกมาก็ต้องดังขึ้นหลายเท่าเป็นธรรมดา
กรรมในการรักษาศีล
คนยุคนี้มักมองว่าพ่อค้าที่ฆ่าสัตว์ขายก็รวย คนคดโกงบ้านเมืองก็รวย คนเป็นชู้ดะก็รวย คนลวงโลกก็รวย คนกินเหล้าก็รวย แถมอาจจะรวยระดับประเทศเสียด้วย ฉะนั้น การรักษาศีลไม่น่าจะเกี่ยวกับรวยหรือไม่รวย
ขอให้มองว่าความรวยจากการเป็นคนทุศีลนั้น เหมือนตั้งสมบัติไว้บนเขตที่แผ่นดินไหวบ่อย ไม่แน่ว่าสมบัติจะพังราบไปเมื่อใด หรือกระทั่งตัวเจ้าของจะต้องตายตามสมบัติในวันไหน ที่แน่ๆคือตามกฎแห่งกรรมวิบากแล้ว ชาติหน้าของคนทุศีลคงยากจะประสบสุข
มีคนอยู่จำพวกหนึ่ง เคยทำทานไว้มาก ผลของทานจ้องรอจะส่งให้รวยอยู่ ติดขัดก็แต่ว่าผลบาปอันเกิดจากการผิดศีลตัดหน้าไปก่อน เช่น เคยเป็นกษัตริย์ นำทัพไปล้อมเมืองเขาไว้ เป็นผลให้ชาวเมืองอดข้าวอดน้ำลำบากเป็นเวลานาน สวรรคตแล้วจึงต้องไปเข้าท้องคนอัตคัดขัดสน พอผลของบาปหมดกำลัง จึงค่อยเปิดทางให้ผลของทานแสดงตัวบ้าง แต่ก็ต้องร่ำรวยล้นฟ้าขึ้นมาด้วยความวิริยะอุตสาหะอยู่ดี ไม่ใช่รวยขึ้นมาดื้อๆ โทษฐานที่เคยทำความลำบากให้คนอื่นไว้มาก
ผู้มีศีลบริบูรณ์อาจไม่รวยล้นฟ้าทันตาเห็น แต่เขาย่อมเป็นผู้ระมัดระวัง ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ไม่พลาดหลงไปในทางอกุศล เมื่อชีวิตไม่หลงไปตามอกุศล กุศลย่อมเกิดขึ้นแทน และความร่ำรวยก็ย่อมยืนอยู่ข้างกุศลในชาติถัดไปนั่นเอง พิจารณาเป็นข้อๆได้ดังนี้
๑) เมื่อตั้งใจเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ แม้มีเหตุยั่วยุให้ขุ่นเคืองอาฆาต ก็ละเว้นได้ทั้งชีวิตสัตว์เล็กและสัตว์ใหญ่ มีใจเป็นอภัยทาน ซึ่งมีความหมายว่าถ้าเคยผูกเวรกันมา เขาเคยก่อเวรไว้กับคุณ พอถึงตาคุณได้โอกาสเอาคืนบ้าง คุณก็ไม่เอา แต่เลือกที่จะปล่อยเขาไป นี่คือให้ชีวิตของเขาเป็นทานกับเขาเองทีเดียว
๒) เมื่อตั้งใจเว้นขาดจากการขโมย แม้มีเหตุยั่วยุให้อยากเอาของเขามาเป็นของเรา ก็ละเว้นได้ทั้งทรัพย์เล็กและทรัพย์ใหญ่ ใจจึงตั้งอยู่ในความคิดยกให้เจ้าของครอบครองทรัพย์ของเขาไปตามเดิม จัดเป็นชนวนความคิดให้ทานประการหนึ่ง
๓) เมื่อตั้งใจเว้นขาดจากการผิดลูกผิดเมียชาวบ้าน แม้มีเหตุยั่วยุให้เกิดราคะแรงกล้า ก็ละเว้นได้ทั้งการแตะต้องด้วยความกำหนัดและการมีเพศสัมพันธ์ผิดๆ ค่าตัวอันตีราคาได้จากเพศสัมพันธ์กับเขาหรือเธอมีประมาณใด ก็เท่ากับคุณยกคืนให้เจ้าของประมาณนั้น
๔) เมื่อตั้งใจเว้นขาดจากการโกหก แม้มีเหตุยั่วยุให้อยากบิดเบือนความจริงเพื่อเอาผลประโยชน์ ก็ละเว้นได้ทั้งการหลอกลวงตรงๆและการฉ้อฉลทางอ้อม ผลประโยชน์จากการโกหกมีเท่าไร ก็เท่ากับคุณยกคืนให้เจ้าของประมาณนั้น
๕) เมื่อตั้งใจเว้นขาดจากการดื่มสุรายาเมา แม้มีเหตุยั่วยุให้อยากเอาสนุก ก็ละเว้นได้ทั้งการเสพพอสนุกและการเสพจนเมาหัวราน้ำ ความเสียหายทั้งหมดของคนอื่นที่อาจเกิดขึ้นจากความขี้เมาของคุณ คุณแลกซื้อแล้วด้วยการยอมอดสนุกเสียเอง
แยกแยะตามหลักของพระพุทธเจ้าเช่นนี้ คุณคงเห็นแล้วว่าศีลก็เป็นทานเหมือนกัน และไม่ใช่ทานธรรมดา ต้องเรียกว่าเป็น "มหาทาน" อีกด้วย!
นี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเราแตกต่างจากเหล่าสัตว์ที่ใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณ เรามีเจตนาควบคุมความประพฤติตนเองเพื่อหลีกออกจากโลกของการกระทบกระทั่งได้ คิดถึงอกเขาอกเราได้ รัศมีของ "การให้ความปลอดภัย" จึงเปล่งประกายออกมา รัศมีนี้เองเป็นตัวดึงดูดความเจริญรุ่งเรือง กับทั้งทำตัวเหมือนแผ่นดินอันมั่นคง เป็นที่ตั้งรองรับสมบัติไม่ให้โยกคลอนหรือกระจายหายไปไหน
เมื่อทำ "มหาทาน" อยู่ทั้งชีวิต ใจย่อมรู้สึกอยู่ว่าเมื่อชาตินี้ "รวยศีล" แล้วจะแปลกอะไร ถ้าชาติหน้าจะ "รวยทรัพย์" อย่างมั่นคงต่อไป
กรรมด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
ความร่ำรวยเกิดจากความมีใจกว้าง มีใจเผื่อแผ่ กรรมใดที่เป็นไปเพื่อความกรุณาต่อผู้อื่น ช่วยให้ทุเลาทุกข์ ช่วยให้ความสุข ช่วยให้ความสบาย ช่วยให้ความปลอดภัยกับมหาชน กรรมนั้นย่อมขยายขอบเขตอาณาจักรเงินทองได้ทั้งสิ้น
คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตตามสถานการณ์ บางชาติรวมแล้วให้ทานมากแต่รักษาศีลน้อย บางชาติรวมแล้วให้ทานน้อยแต่รักษาศีลมาก บางชาติรวมแล้วให้ทานและรักษาศีลพอประมาณ แต่ไม่ขวนขวายทำงาน ไม่มีหัวริเริ่มสร้างเครือข่ายธุรกิจของตนเอง ฉะนั้น การได้ทรัพย์มา และความเสื่อมสูญไปของทรัพย์ จึงแบ่งแยกออกได้เป็นประเภทตามกรรมอันหลากหลาย แต่โดยย่นย่อแล้วสภาพความร่ำรวยแบ่งได้เป็น ๔ ชนิด ดังนี้
๑) รวยด้วยลาภลอย
บางคนเกิดมายากจน แต่อยู่ๆถูกหวยใต้ดิน หรือเล่นลอตเตอรี่ได้รางวัลที่ ๑ หรืออยู่ๆได้รับการตกรางวัลก้อนโตเพราะทำเรื่องถูกอกถูกใจผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ อย่างนี้คือความหมายของ "รวยด้วยลาภลอย"
ความรวยชนิดนี้มาจากการให้ทานแบบที่ส่งลาภลอยให้คนอื่น อยากให้เขาพ้นทุกข์โดยไม่คาดฝัน เช่น เดินทางกลางป่าพบพระธุดงค์ที่กำลังอดอยาก ถึงกับนำอาหารที่เตรียมมาเพื่อตนเองถวายท่านหมดแบบไม่เสียดมเสียดาย หากผู้ให้มีกำลังใจยิ่งใหญ่ ส่วนผู้รับก็มีความบริสุทธิ์มาก ผลย่อมมหาศาลประมาณไม่ถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้รับเป็นพระอรหันต์ที่เพิ่งออกจากฌานขั้นสูงสุด ก็ไม่ต้องรอลาภลอยในชาติต่อไป แต่จะบังเกิดผลทันทีภายใน ๗ วันทีเดียว
พวกที่ชอบตั้งสมาคมสังคมสงเคราะห์ หรือเศรษฐีที่อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตหมู่คนแบบฉับพลันทันที ช่วยให้คนยากจนมีงานทำ มีรายได้เป็นของตัวเอง ก็เข้าข่ายจะได้รับลาภลอยก้อนใหญ่เช่นกัน
แม้กระทั่งอยากให้ใครประหลาดใจ ยินดีปรีดาเป็นล้นพ้น ด้วยการให้ของขวัญหรือของสมนาคุณที่เกินความคาดฝัน ก็จะมีผลให้เกิดลาภลอยด้วย แต่ความยิ่งใหญ่ของผลอาจลดหลั่นลงไปตามกำลังใจที่คิดให้ ตลอดจนระดับศีลธรรมของผู้รับ และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชีวิตของผู้รับนั้นๆ
๒) รวยด้วยมรดก
"กองมรดก" มีนิยามตามตัวบทกฎหมาย คือ บรรดาทรัพย์สินของผู้ตาย ส่วนใครมีสิทธิ์ครอบครองมรดกของผู้ตายก็ว่ากันไปตามพินัยกรรมหรือการสั่งเสีย
มรดกยังมีประเภทของมันเอง เช่น...
- มรดกคู่ชีพ คือ เกิดมายังไม่ทันไรก็ได้เลย เช่น อายุยังไม่ถึง ๒๐ แต่เจ้าคุณปู่แบ่งสมบัติให้แล้ว ๑๐๐ ล้าน เห็นได้ชัดว่าเพียงรายได้อันเกิดจากดอกเบี้ยรายปี ก็มากกว่าคนทำงานกินเงินเดือนเกือบทั้งโลกแล้ว รากของกรรมที่ทำให้มีสิทธิ์ได้มรดกคู่ชีพ คือ บริจาคเงินเป็นประจำเพื่อเลี้ยงอาหารเด็ก คนชรา หรือผู้อนาถาด้อยโอกาสต่างๆ หรือไม่ก็ใส่บาตรพระทุกวัน ทุกอาทิตย์ หรือทุกเดือน ซึ่งก็คือการหยิบยื่นแบบไม่มีเงื่อนไขให้ใครหลายๆคนได้อยู่สบายกินสบายตลอดเท่าที่ผู้บริจาคยังไม่สิ้นอายุ
- มรดกเย็น คือ ได้แน่ๆตามกาล แบ่งกับญาติพี่น้องตามสัดส่วนที่ยุติธรรม หรือผู้ตายจัดสรรไว้ให้แน่นอนไม่เป็นอื่นแล้ว รากของกรรมที่ทำให้มีสิทธิ์ได้มรดกเย็น คือ เคยมีความโน้มเอียงให้ทานแบบปราศจากเงื่อนไข และจัดสรรให้อย่างยุติธรรม เช่น เมื่อมาที่สถานเลี้ยงเด็ก ก็เตรียมมาด้วยความตั้งใจจะเลี้ยงให้ครบทุกคน หรือให้ได้มากที่สุดโดยไม่เลือกหน้า พวกที่ให้ทานเย็นกับคนอื่นไว้ ก็มารวมเครือญาติรับมรดกเย็นร่วมกัน ทั้งนี้ แม้ของเก่าเป็นกรรมเย็น ก็ไม่แน่ว่าปัจจุบันใจจะเย็นไปด้วย
- มรดกร้อน คือ ไม่รู้แน่ว่าจะได้หรือไม่ได้ ยังความร้อนใจกระวนกระวาย หรือกระทั่งการแตกคอกันในระหว่างหมู่ญาติ บางรายสู้รบกันในศาลเป็นสิบปียังไม่ตัดสิน รากของกรรมที่ทำให้มีสิทธิ์ได้มรดกร้อน คือ การให้ที่ไม่ตรงไปตรงมา ประเภทแจกของล่อใจชิ้นโต ยั่วกิเลสคนอย่างมีเงื่อนไข ต้องให้คนเขาสู้กัน หรือต้องให้แข่งขันชิงชัยเสียก่อน คนชนะจึงมีสิทธิ์ได้รับรางวัล พวกที่ให้ทานร้อนกับคนอื่นไว้ ก็มารวมเครือญาติรับมรดกร้อนร่วมกัน ทั้งนี้ แม้ของเก่าเป็นกรรมร้อน ก็ไม่แน่ว่าปัจจุบันใจจะต้องร้อนไปด้วย
- มรดกเลือด คือ สมบัติเป็นเหตุแห่งศึกสายเลือด แย่งกันถึงขั้นคอขาดบาดตาย หลายตระกูลทั่วโลกมีสมบัติมาก แต่ไม่ใช่เหตุแห่งความสุข จะเป็นเหตุแห่งความทุกข์เจียนคลั่งเสียมากกว่า เพราะแม้แต่พี่น้องของตัวเองก็ไว้ใจไม่ได้มากไปกว่าโจรที่จ้องฆ่ากัน รากของกรรมที่ทำให้มีสิทธิ์ในมรดกเลือด คือ เคยตั้งรางวัลใหญ่ ยั่วให้คนหรือสัตว์ฆ่าแกงกัน หรือทำร้ายตบตีชกต่อยกัน โดยผู้อยู่รอดหรือผู้ชนะค่อยเอารางวัลไป พวกที่ให้ทานบนน้ำใจโหดเหี้ยม ก็มารวมเครือญาติรับมรดกเลือดร่วมกัน
๓) รวยด้วยน้ำพักน้ำแรง
น้อยคนมากๆในโลกนี้ ที่ได้ลาภลอยหนเดียวแล้วรวยเลยตลอดไป ส่วนใหญ่ถ้าไม่รู้ว่าได้เงินก้อนโตมาอย่างไร ก็เท่ากับไม่รู้วิธีหาและรักษาไว้ ส่วนพวกที่รวยมรดกไปจนตาย ก็มักสบายแบบเคยตัว ประมาทในชีวิต คิดว่าไม่ต้องทำอะไรก็ได้
และจากข้อก่อนคงเห็นแล้วว่าความพัวพันกับมรดกร้อนและมรดกเลือดนั้น จะก่อให้เกิดภัยเวรผูกกันไปอีก แสดงให้เห็นว่าทรัพย์อันเกิดจากศพของคนอื่น มักไม่นำมาซึ่งความสงบใจ สู้ทรัพย์อันเกิดจากกรรมของเราเองในอดีตและปัจจุบันไม่ได้ ให้ความรู้สึกว่าเป็นของเราจริง ไม่ต้องแย่งกับใคร และใครมาแย่งไม่ได้
สรุปคือรวยลาภกับรวยมรดกนั้น ยังไม่แน่ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ต่างจากรวยด้วยตัวเอง อันนั้นมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นลาภ สนุกกับการสร้างลาภให้ตน และมีตนเป็นผู้รักษาเป็นไหนๆ
การรวยด้วยน้ำพักน้ำแรงมีสองประเภทใหญ่ๆ หนึ่งคือค้าขายเอาผลกำไร สองคืออาศัยความรู้ ความสามารถ ความเก่งกาจ หรือความฉลาดประดิษฐ์ในการทำให้มหาชนพอใจ แล้วแปรความพอใจอันใหญ่หลวงของมหาชนเป็นรายได้ในภายหลัง
รากของกรรมอันบันดาลให้เป็นพ่อค้าแม่ขายที่ได้กำไร คือ เข้าไปไถ่ถามผู้ทรงคุณว่าอยากได้อะไร แล้วหามาให้ตามที่ท่านขอ หรือมากกว่านั้น จะเป็นเหตุสนับสนุนสำคัญให้ได้เป็นพ่อค้าแม่ขายที่ทำธุรกิจประสบความสำเร็จรุ่งเรือง ตรงจุดนี้ขอให้สังเกตด้วยว่า ภาพของกิริยาที่ทำกรรม ย่อมสะท้อนกลับมาเป็นภาพของปฏิกิริยาที่สอดคล้องเมื่อรับผลกรรม
ส่วนรากของกรรมที่บันดาลให้เป็นคนรู้มาก สามารถมาก เก่งมาก ฉลาดมาก อีกทั้งมีผลงานให้มหาชนพอใจนั้น ให้ทานและรักษาศีลยังไม่พอ ต้องเป็นผู้เคยทำประโยชน์เฉพาะทางไว้ก่อนด้วย ขอยกไว้เป็นตัวอย่างสักสองสามอาชีพเพื่อให้เห็นภาพชัด ดังนี้
- ถ้าเคยทำขนมถวายพระ ใช้ใจ ใช้ความคิด ใช้ความสามารถทั้งหมดทุ่มเทให้กับการทำขนมอร่อยถวายพระอย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน อย่างนี้เกิดใหม่จะมีทั้งไอเดียและฝีมือทำขนมตั้งแต่เด็กๆ โตขึ้นถ้าขยันพอจะทำขนมขาย ก็จะมีทั้งรสขนมที่ถูกปากเป็นที่ติดใจแก่ลูกค้า กับทั้งมีรัศมีบุญดึงดูดคนเข้าร้านและอยากช่วยบอกต่อ
- ถ้าเคยยอมเอากำลังแรงหรือชีวิตเข้าแลกในการปกป้องพระสงฆ์องค์เจ้า ลูกเด็กเล็กแดง หรือคนบริสุทธิ์ ที่กำลังถูกศัตรูรุกราน อย่างนี้เกิดใหม่จะมีกำลังใหญ่ มีความฮึกเหิมห้าวหาญ หากไม่มีอาชีพอื่นให้เลือกและใจถึงพอ ก็เป็นนักมวย หรือเป็นนักสู้ระดับพระกาฬ ที่มหาชนชมการต่อสู้แล้วระทึก ช่วยกันเชียร์จนค่าตัวสูงลิบ ต่อให้ไม่ชนะทุกไฟต์ก็ตาม
- ถ้าเคยใส่ใจไถ่ถามพระ หรือผู้ทรงศีล หรือพ่อแม่ ว่ามีโรคทางกายอย่างไร ลำบากเรื่องสุขภาพประการใด แล้วขวนขวายหาหยูกยาหรือหนทางรักษาท่าน ด้วยความรู้จักเลือกยา เลือกหมอ กับทั้งรักษาได้สำเร็จหรือช่วยให้พวกท่านทุเลาอาการลง อย่างนี้เกิดใหม่จะมีสัญชาตญาณและความสนใจรักษาคนป่วย อยากเห็นคนหายจากโรคภัยไข้เจ็บ กับทั้งมีกำลังสมองเพียงพอจะรองรับศาสตร์หรือสาขาแพทย์แผนใดแผนหนึ่ง หรือกระทั่งมีสิทธิ์ค้นพบสูตรยาหรือวิธีรักษาอันลือลั่นได้ ยิ่งถ้าชาติไหนเป็นหมอมีฝีมืออยู่แล้ว และได้โอกาสรักษาพระอาพาธกลุ่มใหญ่ด้วยน้ำใจกรุณา ก็ยิ่งเป็นเหตุให้ชาติถัดไปมีพรสวรรค์เหนือกว่าแพทย์อื่นเข้าไปอีก อาจถึงขั้นระดับประเทศหรือระดับโลกได้
สรุปคือเคยทำบุญไว้เหมาะกับอาชีพแบบไหนมาก ก็จะเป็นผู้มีพรสวรรค์ ผลักดันให้เกิดความเพียรในสาขาวิชาชีพนั้นๆ เต็มใจทุ่มเทเวลาให้ กับทั้งรีดกำลังสมองทั้งหมดให้กับสิ่งที่ตนถนัด จนกลายเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลในสาขาอาชีพ แล้วเงินทองกับการยกระดับชีวิตย่อมตามมาเอง
๔) รวยด้วยเส้นทางคนบาป
เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของคนไม่เชื่อเรื่องผลของกรรม ก็เพราะผลกรรมมาช้า ถ้าผลกรรมมาเร็วทันตาทันใจ โลกนี้คงต่างไปจากที่เห็น เช่น เตะใครแล้วถูกเตะกลับแบบหมดสิทธิ์ป้องกันตัว ยกเค้าบ้านใครกลับมาเจอบ้านตัวเองว่างเปล่าบ้าง อย่างนี้ทุกคนจะกลัวบาปและอยากทำบุญกันหมด แต่นี่บางคนทำบ่อนอบายมุขแล้วรวย ขายเหล้าแล้วเป็นเศรษฐี โกงบ้านโกงเมืองแล้วยังมีหน้ามีตาอยู่ได้ คนทั่วไปเลยถอดใจ ไม่อยากเชื่อว่าผลของการทำบาปมีจริง
ต่อเมื่อศึกษาจนเข้าใจแล้วว่าการเข้าท้องมนุษย์ มาเกิดกับพ่อแม่คู่หนึ่งๆ มีรูปร่างหน้าตาและสติปัญญาแบบหนึ่งๆ ก็ด้วยผลรวมของกรรมเก่า กรรมเก่าวางแผนไว้ให้หมดแล้วว่าจะได้ดีหรือตกยากประมาณไหน ในช่วงต้น ช่วงกลาง หรือช่วงปลายชีวิต จึงค่อยเกิดศรัทธาขึ้นมาได้
นอกจากรับกรรมเก่าแล้ว เราทุกคนก็กำลังสร้างกรรมใหม่ จะส่งเสริมหรือขัดขวางกรรมเก่า เป็นสิทธิ์ที่จะเลือกได้ใหม่ไม่จำกัด เช่น บุญจากการให้ทานส่งให้คุณรวยตั้งแต่เกิด แต่ด้วยความไม่รู้ว่ารวยได้อย่างไร นึกว่าบังเอิญโชคดีแบบไม่มีเหตุผล ก็อาศัยความโชคดีนั้นไปสร้างธุรกิจปอกลอกเงินประชาชน แบบจะเอาเงินต่อเงินให้รวยยิ่งๆขึ้นไปอีก ไม่รู้ตัวเลยว่านั่นเป็นการสร้างความหายนะให้กับตนเองเพียงใด
ในชาติที่ทำธุรกิจโกงเงินประชาชน ถ้าบุญเก่าเลี้ยงไว้แบบจะให้สบายตลอดชีวิต อย่างไรก็ไม่ต้องติดคุก คุณอาจลอยหน้าลอยตา ยิ่งใหญ่คับฟ้าไม่เลิก แต่หากบุญเก่าไม่ได้สั่งให้ต้องสบายแน่ๆไปทั้งชาติ น้ำลดเมื่อไรตอก็ผุดเมื่อนั้น คุณอาจต้องเข้าคุกในบั้นปลายชีวิต แล้วถ้ามีสิทธิ์กลับมาเกิดใหม่ในแดนมนุษย์ ก็อาจมาอยู่กับครอบครัวที่สิ้นไร้ไม้ตอก โดนเขาโกงตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ตกทอดเรื่อยมาจนถึงรุ่นคุณ เรียกว่าได้หน้าดำคร่ำเครียดกับความยากจนตั้งแต่เกิดจนตาย พยายามหาเงินมาแค่ไหนก็โดนโกงไปแค่นั้น
สรุปว่าจะร่ำรวยได้นั้น ไม่ว่าจะบนเส้นทางนักบุญหรือคนบาป อย่างไรก็ต้องมีบุญเก่าหนุนหลังอยู่ ส่วนคำถามที่มักเกิดขึ้นว่าทำไมบางคนทำบาปขึ้น ทำไมบางคนพยายามหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ อันนี้ก็ต้องมาดูกัน มูลเหตุให้ทำบาปขึ้นนั้น เกิดจากการที่เคยใช้เงินเปื้อนบาปไปทำบุญ หรือเป็นตัวตั้งตัวตีเชิญชวนคนมาทำบุญด้วยเครื่องล่อเป็นอบายมุข หรือเคยหลงผิดเข้าไปอยู่ในลัทธิความเชื่อประเภทบูชาเทพด้วยชีวิตสัตว์ หรือฆ่าคนด้วยเมตตาเป็นประจำ ด้วยเจตนาอยากช่วยให้เขาพ้นทุกข์พ้นทรมาน
บุญเปื้อนบาป หรือบาปฉาบบุญนี่เองคือชนวนของการทำบาปขึ้นในชาติถัดมา ในอดีตคฤหบดีบางคนทำธุรกิจเหล้ายา แล้วเอาเงินไปสร้างวัด สร้างหอสมุดธรรมะ สร้างสาธารณประโยชน์มหาศาล ก็ไม่น่าประหลาดใจว่าเกิดใหม่พอจับธุรกิจเหล้ายาอีกจึงรุ่งเรืองอีก ทว่าความรุ่งเรืองใดๆทั้งทางโลกและทางธรรม ก็ช่วยให้รอดจากผลของการขายเหล้าไม่ได้ เมื่อถึงเวลาที่กรรมเผล็ดผล
ในอดีตบางคนเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง มีอำนาจราชศักดิ์ แล้วใช้อำนาจราชศักดิ์นั้นในการทำนุบำรุงศาสนาต่างๆ จิตใจกว้างขวาง คิดเอื้อประโยชน์สุขแก่สมณะและปวงชน เมื่อเกิดใหม่ก็ไม่น่าแปลกใจหากจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในบ้านเมืองอีก ส่วนจะคิดปกครองหรือเล่นการเมืองแนวใด ก็ขึ้นอยู่กับว่าในปัจจุบันต้องเข้ากับกลุ่มพวกที่มีความเชื่อทางการเมืองแบบไหน อาศัยอยู่ในประเทศใด อย่ามองแบบเหมาเข่งว่าเป็นนักการเมืองต้องโกงกินและไร้คุณงามความดีกันสักนิดเดียว
คนมักคิดว่าความยากจนคือต้นเหตุของภยันตรายและความชั่วร้ายทั้งปวง แต่ข้อเท็จจริงคือ โจรหิวโซเป็นภัยได้แคบจำกัดกว่าเศรษฐีที่ยังอิ่มไม่พอ เพราะโจรกระจอกนั้น พอทำร้ายใครแค่คนเดียว ก็อาจโดนตำรวจจับเข้าคุกยาวกว่าจะออกมาก่อคดีอีก แต่เศรษฐีที่มีอิทธิพลใหญ่อาจใช้อำนาจเงินซื้อตำรวจไว้ทั้งเมือง แม้เขาฆ่าคนตายหรือทำให้หลายครอบครัวเดือดร้อนแสนสาหัส ใครเล่าจะแตะต้องเขาได้ นอกจากวิบากกรรมที่จะตามมาเล่นงาน ซึ่งก็อาจเป็นเวลาเนิ่นนานต่อมา ใครทนรอเห็นผลที่จะเกิดกับมาเฟียใหญ่ไม่ไหว ก็อาจต้องเสื่อมศรัทธาในบาปบุญกันไป
ตื่น!ชาวแพร่ตักน้ำในบ่อน้ำทิพย์เชื่อรักษาโรค
ตื่น!ชาวแพร่ตักน้ำในบ่อน้ำทิพย์เชื่อรักษาโรค
ตื่น!ชาวบ้านแห่ตักน้ำในบ่อน้ำทิพย์เชื่อรักษาโรค ด้านสสจ.แพร่เตือนอย่าดื่มกินน้ำในบ่อน้ำทิพย์ปนเปื้อนเชื้อโรค
เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 24 เม.ย.นพ.สุรินทร์ สุมนาพันธ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดแพร่ ได้เดินทางไปตรวจสอบบ่อน้ำทิพย์ หมู่ 11 ต.ป่าแมต อ.เมือง จ.แพร่ ห่างจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงเฉลิมพระเกียติแพร่ 500 เมตร หลังจากที่ได้รับแจ้งว่า มีชาวบ้านจำนวนมากพร้อมภาชนะดินทางมาตักน้ำในบ่อน้ำทิพย์แห่งนี้ เพื่อนำไปกิน ทา อาบ เพราะเชื่อว่า สามารถรักษาโรคได้ทุกโรค
ทั้งนี้ จากการที่สาธารณสุขจังหวัดแพร่ นำน้ำในบ่อน้ำทิพย์ตรวจสอบพบว่า มี เชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่ในน้ำ ซึ่งเป็นอันตรายต่อชาวบ้านน้ำดังกล่าวไปดื่มกิน
นพ.สุรินทร์ เปิดเผยว่า เป็นเรื่องของความเชื่อ คงห้ามกันไม่ได้ แต่หลังจากตรวจสอบแล้วพบว่ามีเชื้อแบคทีเรียปนอยู่ในน้ำ จึงแจ้งให้ชาวบ้านทราบว่ าไม่ควรนำน้ำไปดื่มกินโดยเด็ดขาดเพราะจะทำให้ร่างกายเกิดเจ็บป่วยได้ นอกจากนี้ในน้ำยังมีชาวบ้านลงไปไปอาบ ซึ่งจะทำให้แพร่เชื่อโรคจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งได้ ส่วนสารปนเปื้อนในน้ำนั้น ศูนย์วิทยาศาสตร์เชียงราย จะเดินทางมาเก็บตัวอย่างเพื่อค้นหาสารปนเปื้อนในบ่อน้ำทิพย์ว่ามีอะไรบ้าง แต่เบื้องต้นพบว่า เป็นแหล่งน้ำตามธรรมชาติ เพราะอยู่ใกล้อ่างเก็บน้ำ
"ขอเตือนให้ชาวบ้านที่จะนำไปดื่มกิน ทา อาบ ให้มีพิจารณาญาณด้วย เพราะการรักษาโรคบางอย่างเช่นปวดเข่า อาจจะเป็นๆหายๆ ได้เอง หรือเป็นอัมพาต อาจหายเองได้ถ้าเป็นไม่นาน แต่หากเป็น 10 ปี นี่คงเป็นไปไม่ได้ ซึ่งก็ยังไม่พิสูจน์ได้ว่าเป็นใครคนไหนที่นำน้ำไปดื่มกินแล้วได้หายจากเป็นอัมพาต 10 ปี สามารถเดินเหินได้เช่นคนปรกติด เพราะจากการสอบถามเป็นเพียงเรื่องเล่ากันมาเท่านั้น" นพ.สุรินทร์ กล่าว
นางถนอม ป่าธนู อายุ 66 ปี บ้าเลขที่ 7 หมู่ 4 ต.ป่าแมต อ.เมือง จ.แพร่ กล้าวว่า ได้นำ แกลลอนมาตักน้ำไปดื่มกิน เพราะทราบข่าวว่า น้ำทิพย์ที่ตักนี้เป็นน้ำทิพย์ที่มีชาวบ้านมาตักไปก่อนหน้า พอนำไปดื่มกิน อาบ สามารถรักษาโรคได้ทุกโรค คนเป็นตุ่มตามร่างกาย หรือเดินไม่ได้กว่า 10 ปี พอมาเอาน้ำในสระดังกล่าวไปดื่มกิน ปรากฏว่าเดินได้ ส่วนตัวเองปวดเมื่อยตามร่างกาย จะลองนำไปดื่มกินดู
นางเหล็ง เจริญคิด อายุ 67 ปี บ้านเลขที่ 78 หมู่ 11 ต.ป่าแมต อ.เมือง จ.แพร่ กล่าวว่า เพิ่งมาติดต่อกันเป็นสัปดาห์แรก มีคนนำมาเล่าในหมู่บ้านว่า เข่าบวมสองข้างแล้วตักน้ำทิพย์ในบ่อไปทาไม่กี่วันก็ก็หา มือเป็นเหน็บชา กินสองสามวันก็หาย พอเอาไปกินสองสามวันมือที่เป็นเหน็บชาก็หายจริงๆ ตื่นเช้าขึ้นมาไม่รู้สึกชาที่มืออีกเลย ขณะที่คันศีรษะ ก็กำลังลองเอามาสระผมดู
ขณะที่ นายมอย วันชัย อายุ 689 ปี บ้านเลขที่ 91 หมู่ 3 ต.ปาแมต อ.เมือง จ.แพร่ กล่าวว่า เป็นคนดูแล รถแบคโฮที่มาขุดดินบริเวณที่เกิดเป็นบ่อน้ำทิพย์ นอนเฝ้ารถแมคโครมาสองเดือน เมื่อช่วงสงกรานต์รถแบคโฮตักดิน แล้วมีน้ำผุดออกมา หลังจากนั้นก็มีชาวบ้านแห่กันนำขวด ถังมาตัก จึงสอบถามจึงรู้ว่าน้ำที่ผุดออกมาชาวบ้านเชื่อว่าเป็นบ่อน้ำทิพย์ และชาวบ้านที่ตักไปสามารถนำไปรักษาโรคประจำตัวได้ และมีชาวบ้านรายหนึ่ง ได้ลงไปตักน้ำแล้วบอกว่าเห็นกำไลลอยขึ้นมา ก็มาตีเป็นเลขหวย 109 ซึ่งชาวบ้านเขาก็เชื่อ
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
“กมฺมุนา วตฺตตีโลโก....สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
พระพุทธศาสนสุภาษิตบทนี้เป็นคำตอบที่ชัดแจ้ง สำหรับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นมากมาย ว่าทำไมโลกทุกวันนี้จึงร้อนนัก เต็มไปด้วยความเลวร้ายต่างๆ นานาที่ไม่เคยมีมาก่อน
พระพุทธศาสนสุภาษิตบทนี้เป็นคำตอบที่ชัดแจ้ง สำหรับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นมากมาย ว่าทำไมโลกทุกวันนี้จึงร้อนนัก เต็มไปด้วยความเลวร้ายต่างๆ นานาที่ไม่เคยมีมาก่อน
ทั้งมรสุมใหญ่ ทั้งน้ำไฟทำลาย ทั้งโจรร้ายเข่นฆ่า ทั้งความเมตตากรุณาสิ้นจากจิตใจ ทั้งความขาดแคลนทุกข์ยากทั่วไปทั้งแผ่นดิน ความกตัญญูก็สิ้นสูญหมด ลูกหลานทรยศแม่พ่อพี่ป้าน้าอาปู่ย่าตายาย ถึงทุบตีเข่นฆ่าทำทารุณกรรม ครูอาจารย์ก็ทำร้ายได้ทั้งร่ายกายและจิตใจศิษย์น้อยๆ ทำชีวิตให้พลอยสิ้นสุด จนถึงเกิดเป็นปัญหาว่า....
ทำไมเมืองพระพุทธศาสนาจึงเป็นเช่นนี้ได้ ?
ทำไมความเดือนร้อนชั่วร้ายจึงมากมายนัก ?
ทำไมผู้คนจึงลำบากยากแค้นนัก ตกอยู่ในสภาพที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงนัก
“กมฺมุนา วตฺตตีโลโก...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” นี่คือคำตอบ
ทำไมความเดือนร้อนชั่วร้ายจึงมากมายนัก ?
ทำไมผู้คนจึงลำบากยากแค้นนัก ตกอยู่ในสภาพที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงนัก
“กมฺมุนา วตฺตตีโลโก...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” นี่คือคำตอบ
กรรม..คือการกระทำทั้งที่ดีและไม่ดี
กรรมหมายถึงการกระทำ ซึ่งมีความหมายเป็นกลาง คือ มีทั้งที่ดีและที่ไม่ดี
การกระทำที่ดีเป็นกรรมดี การกระทำที่ไม่ดีเป็นกรรมไม่ดี แต่ที่นำมาใช้นั้นเข้าใจว่า กรรม คือ ความไม่ดีสถานเดียว เช่น เมื่อมีอะไรร้ายๆ เกิดแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง ก็จะกล่าวว่ากรรมของเขา คือ ความไม่ดีของเขา
“สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ที่เป็นคำในพระพุทธศาสนสุภาษิต มีความหมายว่า คนและสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นไปต่างๆ นานา ทุกข์ก็มี สุขก็มี ดีก็มี ชั่วก็มี มิได้เกิดแต่ผู้ใดอื่น มิได้เกิดแต่อะไรอื่น มิใช่เกิดแต่เหตุใดทั้งนั้น นอกจากกรรมที่ตนได้กระทำแล้วเองเท่านั้น
อำนาจแห่งกรรมของตนเอง
ผู้ที่เป็นมนุษย์ในชาตินี้ อาจเกิดเป็นสัตว์ในชาติหน้าได้ ด้วยอำนาจแห่งกรรมของตนเอง ที่เพียงพอแก่ความเป็นสัตว์ ซึ่งมีต่างๆ ประเภท ทั้งหมู หมา กา ไก่ วัด ควาย ช้าง ม้า ที่อำนาจกรรมอาจนำให้มนุษย์ไปเกิดได้ประเภทนั้นๆ
ในพระพุทธศาสนามีเรื่องเล่าถึงพระภิกษุรูปหนึ่งในสมัยพุทธกาล ที่ประพฤติดี ประพฤติชอบมาตลอด ก่อนแต่จะมรณภาพได้จีวรมาผืนหนึ่งซักตากไว้บนราว ด้วยมีใจผูกพันยินดีที่จะไครองจีวรใหม่
เกิดมรณภาพในช่วงเวลาก่อนจะทันได้ใช้จีวร เพื่อนภิกษุจะถือจีวรนั้นเป็นของตน สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้ามไว้ มีพระพุทธดำรัสให้รอก่อน ๗ วัน เพราะขณะนั้นพระภิกษุผู้เป็นเจ้าของได้ไปเกิดเป็นเล็นเกาะติดอยู่กับผ้าจีวร
อายุของเล็นอยู่นานเพียง ๗ วัน จากนั้นจะได้ไปเสวยผลแห่งกรรมดีที่พระภิกษุรูปนั้นได้ประกอบกระทำไว้เป็นอันมาก นี้เป็นเรื่องแสดงอำนาจของกรรทางใจที่ใหญ่ยิ่ง อาจนำให้พระภิกษุไปเกิดเป็นสัตว์ได้
ทุกสิ่งเป็นไปตามอำนาจแห่งใจ
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ มนุษย์ต้องไปเกิดเป็นสัตว์ก็เพราะอำนาจแห่งใจ มีเรื่องของพระภิกษุสำคัญองค์หนึ่งในพระพุทธศาสนา ท่านเป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
ได้เล่าไว้และมีผู้นำมาเขียนให้ได้อ่านกันต่อมา ท่านเล่าว่า ท่านต้องไปเกิดเป็นไก่หลายชาติ เหตุเพราะมีใช้ผูกพันในแม่ไก่ กว่าจะรอดกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็นานนักหนา
ต่อมาเมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ได้ปฏิบัติธรรมคำทรงสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความรู้สึกรู้ไกลไปในอดีตหลายภพชาติ จึงประจักษ์ในอำนาจของจิต ว่ายิ่งใหญ่นัก สามารถทำให้มนุษย์ไปเกิดเป็นสัตว์ได้ และทำให้สัตว์วนเวียนอยู่ในภพภูมิที่ต่ำนักหนาได้ ควรจะสลดสังเวชและควรจะกลัวอำนาจของจิตที่ตั้งไว้ผิดยิ่งนัก
ความไม่เข้าใจในเรื่องของกรรม
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม แม้จะเป็นจริงเช่นนี้ แต่มีผู้ที่เชื่อว่าเป็นจริงเพียงจำนวนน้อยนัก เพราะไม่มีภาพให้เห็นว่า เมื่อชีวิตออกจากร่างของคนคนหนึ่งไป ก็ไปเป็นอีกร่างหนึ่งได้ เช่น หมู หมา กา ไก่ ความไม่ได้เห็นชัดๆ ด้วยตาเนื้อเช่นนี้ทำให้คนส่วนมาก ยากจะเชื่อว่าคนก็เกิดเป็นสัตว์ได้
สัตว์ก็เกิดเป็นคนได้ คนฐานะสูงก็เกิดเป็นคนฐานะต่ำได้ คนฐานะต่ำก็เกิดเป็นคนฐานะสูงได้ คนร่างกายดีๆ ก็เกิดเป็นคนแขนด้วนขาด้วนได้ คนพิการแขนด้วนขาด้วนก็เกิดเป็นคนมีแขนมีขาได้ คนหน้าตาน่าเกลียดผิดพรรณเศร้าหมอง ก็เกิดเป็นคนสวยคนงามได้ คนสวยคนงามก็เกิดเป็นคนน่าเกลียดน่าชัง ผิดพรรณเศร้าหมองได้ ยิ่งกว่านั้นคนก็เกิดเป็นเทวดาได้ และเทวดาก็เกิดเป็นคนได้
ความไม่เห็นด้วยตาเนื้อ ประกอบกับความไม่มีความเข้าใจในเรื่องกรรม และการให้ผลของกรรม ที่ทำให้คนส่วนมากไม่กลัวการเกิดใหม่ ว่าจะนำไปสู่สภาพหรือภพชาติที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เช่นเป็นสัตว์นรก
ผู้ไม่เชื่อเรื่องมโนกรรม..น่าสงสารที่สุด
ใจสำคัญที่สุด ใจต้องคิดไปก่อน เป็นมโนกรรม...กรรมทางใจ อะไรๆ จึงจะเป็นผลตามมา จะดีหรือจะชั่วก็แล้วแต่ใจจะคิดดีหรือคิดชั่ว ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องกรรมที่เกิดจากใจคิด เป็นผู้ที่น่าสงสารที่สุด
เพราะเขามีโอกาสที่จะตกอยู่ในสภาพที่เลวร้าย น่าสลดสังเวชยิ่งนัก สภาพที่เกิดแต่ใจคิดนำไปนั้น เกิดได้ทั้งในภพชาติปัจจุบันนี้ ตลอดไปจนถึงภพชาติข้างหน้า อย่างที่ว่าแม้คนก็เกิดเป็นสัตว์ได้ แม้คนก็เกิดเป็นเทวดาได้ และแม้สัตว์ก็เกิดเป็นคนได้ แม้สัตว์ก็เกิดเป็นเทวดาได้
การระวังใจ สำคัญยิ่งนัก
การระวังใจจึงสำคัญยิ่งนัก ปล่อยใจให้คิดสูงส่งงดงามไปด้วยบุญกุศล ชาตินี้ก็เป็นสุขเบิกบานด้วยอำนาจของบุญกุศลที่ใจคิดถึง ละชาตินี้ไปแล้วจะได้มีชาติใหม่ที่งดงาม ควรแก่ความงดงามของความคิดที่อยู่ในจิตใจ
ผู้พรั่งพร้อมด้วยสมบัติทั้งกายและทางใจที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน คือ ผู้ที่เป็นไปตามอำนาจของใจในอดีต อันย่อมมีผลสืบเนื่องถึงอำนาจของใจในภพชาติใหม่ด้วย
ส่วนผู้ที่ปล่อยใจให้คิดต่ำทราบชั่วร้าย ด้วยบาปอกุศล ชาตินี้ก็เป็นทุกข์เร่าร้อนด้วยอำนาจของบาปอกุศลที่ใจคิดถึง ละไปแล้วจะได้มีชาติใหม่ที่ต่ำทรามบกพร่อง ควรแก่ความต่ำช้าของความคิดที่มีอยู่ในจิตใจ
ผู้ขาดแคลนทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ที่เห็นกันอยู่ไม่น้อยในปัจจุบัน คือ ผู้เป็นไปตามอำนาจของใจในอดีต อันย่อมมีผลสืบเนื่องถึงอำนาจของใจในภพชาติใหม่ด้วย จึงพึงระวังความคิดให้อย่างยิ่ง ให้งดงามด้วยบุญกุศลไว้เสมอ จะได้ไม่ต้องมีสภาพที่ไม่เป็นที่พึงปรารถนา
ความคิด เป็นเหตุแห่งสุขและทุกข์
ความคิดเป็นเหตุแห่งความทุกข์ และความคิดก็เป็นเหตุแห่งความสุขได้ พึงรอบคอบในการใช้ความคิด คิดให้ดี คิดให้งาม คิดให้ถูก คิดให้ชอบ แล้วชีวิตในชาตินี้ก็จะงดงาม สืบเนื่องไปถึงภพชาติใหม่ได้ด้วย
ระวังความคิดให้ดีที่สุด เพราะความคิดที่ผูกพันในสิ่งไม่สมควรที่ทำให้พระภิกษุองค์หนึ่งต้องไปเกิดเป็นเล็น อีกองค์หนึ่งต้องไปเกิดเป็นไก่อยู่หลายภพหลายชาติ เราทั้งหลายหาได้มีบุญสมบัติเสมอพระภิกษุทั้งสองนั้นไม่ ความคิดที่ผิดพลาดของเราจะมินำเราไปเป็นอะไรที่น่ากลัวเหลือเกินหรือ
ความคิดเปรียบเช่นดังร่างกาย
ความคิดก็เหมือนร่างกาย เหมือนต้นหมากรากไม้ ต้องการความดูแลรักษา ไม่เช่นนั้นก็อาจจะไม่เติบโตเจริญงอกงาม หรือเติบโตก็อย่างระเกะระกะ ไม่เป็นระเบียบงดงามเป็นคนก็ไม่เรียบร้อย ไม่เป็นที่เจริญตาเจริญใจ ใครที่ไหนเล่าจะชื่นชมคนเช่นนั้น
ความคิดหรือจิตใจก็เช่นเดียวกัน ต้องให้ปุ๋ยเสมอ คือ ให้ความถูกต้องด้วยปัญญา ด้วยสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ ว่าความดีหรือบุญกุศล เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับที่จะประคับประคองชีวิตไปสู่ความถูกต้องดีงามนานาประการ
อย่าอยู่อย่างประมาท อย่าปล่อยความคิดให้วุ่นวายเปะปะไปเหมือนปล่อยเด็กเล็กๆ ให้เดินโซซัดโซเซไปตามลำพัง ย่อมมีทางหกล้มหกลุกแขนขาหัก หรือหัวร้างข้างแตก หรือถึงพิกลพิการได้ ถึงเป็นถึงตายก็ได้ ความคิดที่ไม่ได้รับความประคับประคองให้ดำเนินไปถูกทำนองคลองธรรม ย่อมมีทางเดินไปสู่ความหายนะได้อย่างแน่นอน
เกิดเป็นคน เร่งรักษาจิตให้จงดี
เกิดมาเป็นคน มีอวัยวะครบถ้วนไม่พิกลพิการ ไม่ไร้สติ เป็นบุญนักหนาแล้ว เร่งรักษาจิตให้จงดี ให้อาหารที่เป็นประโยชน์ที่สุด อย่าปล่อยให้เปะปะไปแสวงหาอาหารตามชอบใจ จะต้องหลงไปพบอาหารที่เป็นพิษแน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุคนี้สมัยนี้มีอาหารที่เป็นโทษเป็นพิษร้ายแรงแก่จิตใจมากมาย เต็มไปทั่วทุกหนทุกแห่ง โอกาสที่ใจจะหลบหลีกให้พ้นพิษภัยเหล่านั้นยากมาก สติปัญญารักษาใจที่เพียงพอเท่านั้น ที่จะทำให้แลเห็นช่องทางหลบหลีกพิษภัยเหล่านั้นได้ สามารถรักษาใจให้พ้นพิษภัยร้ายแรง มีความสวัสดีได้ แม้พอสมควร
การตายทั้งเป็นนั้น น่าหวาดกลัวยิ่งนัก
ใจที่มีความคิดอาบยาพิษร้าย เป็นใจที่ทำให้ตายได้ทั้งเป็น อันการตายทั้งเป็นนั้น น่าหวาดกลัวยิ่งกว่ามากมายนัก ผู้ที่ตายทั้งเป็น คือ ผู้เป็นคนเลวในสายตาของคนดี เป็นที่รังเกียจของสังคมคนดี ไปสู่ที่ใดจักไม่มีความหมาย เหมือนเป็นความว่างเปล่า ปราศจากการต้อนรับ
ที่ท่านเปรียบว่าตายทั้งเป็นก็เช่นนี้ด้วย คือ ไม่อยู่ในสายตาในความสนใจของผู้ใด เห็นก็เหมือนไม่เห็น จึงเป็นเหมือนวิญญาณที่ไม่มีร่าง ยิ่งกว่านั้นผู้ที่ตายทั้งเป็นคือผู้ที่เป็นดั่งซากศพที่เน่าเหม็น เป็นที่ยินดีพอใจเข้าห้อมล้อมหนาแน่นของเหล่าแมลงวันหรือหนอนน้อยใหญ่เท่านั้น
นั่นก็คือ คนตายทั้งเป็นด้วยกัน หรือคนไม่ดีด้วยกันเท่านั้นที่จะยินดีต้อนรับพวกเดียวกัน “คนดีจักไม่รังเกียจคนไม่ดี...ไม่มีเลย”
กรรมมีจริง ผลของกรรมมีจริง
“กรรมมีจริง ผลของกรรมมีจริง”
“กรรมดีให้ผลดีจริง กรรมชั่วให้ผลชั่วจริง”
“ผู้ใดทำกรรมใดไว้ จักเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้น ผู้ไม่ได้ทำหาต้องได้รับไม่”
“กรรมดีให้ผลดีจริง กรรมชั่วให้ผลชั่วจริง”
“ผู้ใดทำกรรมใดไว้ จักเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้น ผู้ไม่ได้ทำหาต้องได้รับไม่”
ความเข้าใจผิดในเรื่องนี้มีอยู่ให้ได้ยินได้ฟังเนือง ๆ เช่น มารดาบิดาทำไม่ดีต่างๆ นานาให้เห็น เกิดเหตุการณ์รุนแรงแก่ชีวิต บุตรธิดา ก็มักจะกล่าวกันว่าลูกรับเคราะห์แทนมารดาบิดาบ้าง หรือลูกรับกรรมแทนมารดาบิดาบ้าง ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น กรรมของผู้ใด ผลย่อมเป็นของผู้นั้น จะรับผลกรรมแทนกันไม่ได้ ไม่มี
มารดาบิดาทำไม่ดี ทำบาปทำอกุศล ยังอยู่ดีมีสุขเพราะผลของบาปอกุศลยังส่งไปไม่ถึง แต่บุตรธิดาที่ไม่ทันได้ทำบาปทำอกุศล กลับต้องมีอันเป็นไปต่างๆ นั้น นั่นเป็นเรื่องการรับผลของบาปอกุศลที่ทำไว้ในภพชาติก่อน ที่ตามมาส่งผลในภพชาตินี้แน่นอน
บุตรธิดาผู้ได้รับผลไม่ดีต่างๆ นานา ต้องทำกรรมไม่ดีไว้ในภพชาติหนึ่งแน่นอน แต่เราไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น ไม่ใช่บุตรธิดารับผลกรรมแทนมารดาบิดา
ผู้ที่จะเกิดร่วมกัน เป็นแม่เป็นพ่อเป็นลูกกัน ต้องมีกรรมดี กรรมชั่วในระดับเดียวกัน ไม่แตกต่างห่างไกลกัน จึงทำให้เหมือนลูกรับกรรมแทนแม่พ่อผู้ทำบาปอกุศล
ลูกที่มารับผลไม่ดีต่างๆ ขณะที่แม่พ่อเป็นผู้ประกอบกระทำกรรมไม่ดี นั่นเพราะกรรมไม่ดีของลูกส่งผลทันในระยะนั้น จึงทำให้ยากจะเข้าใจได้ จึงทำให้เกิดความเข้าใจสับสนกันมาก กรรมของคนหนึ่ง ผลจะไม่เกิดแก่อีกคนหนึ่งแน่นอน..
ชาติหน้ามีจริงหรือ ?
ชาติก่อน ชาติหน้า มีจริงหรือ?
บทความนี้เป็นของ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช สมัยยังเป็นฆราวาส ซึ่งหาอ่านได้ยากมาก ขนาดผมเป็นลูกศิษหลวงพ่อมาจะ2ปีแล้วยังไม่เคยเห็นบทความนี้เลย อ่านแล้วรู้สึกจิตสังเวชในวัฏสงสารมาก จึงขออนุญาตินำมาโพสเป็นวิทยาทานนะที่นี้ด้วย
ในช่วงที่ผู้เขียน เรียนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น เป็นช่วงที่แนวความคิดของท่านอาจารย์พุทธทาส อินทปัญโญ มีอิทธิพลต่อนักศึกษาอย่างสูง หลักการสำคัญของแนวทางนี้ก็คือ ท่านเน้นที่การดับทุกข์ในปัจจุบัน ทำให้ลูกศิษย์ซึ่งฟังคำสอนอย่างไม่รอบคอบเข้าใจว่า ท่านอาจารย์ปฏิเสธเรื่องชาติก่อนและชาติหน้า คิดว่าท่านอาจารย์เชื่อว่าตายแล้วสูญ คิดว่าท่านอาจารย์เห็นว่า โอปปาติกสัตว์ เช่นเทวดาและพรหม ไม่มีจริง และทุกอย่างที่แปลกๆ จะถูกอธิบายด้วยเรื่องภาษาคน ภาษาธรรม เช่นอธิบายว่าสวรรค์คือจิตที่เป็นสุข นรกคือจิตที่เป็นทุกข์ อธิบายว่าพระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานในวันเดียวกัน หมายถึงว่าการตรัสรู้ คือการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า และกิเลสก็นิพพานจากพระทัยของท่านในขณะเดียวกัน เป็นต้น มีการตีความธรรมะออกไปอย่างกว้างขวางและสมเหตุสมผล รวมทั้งสอนกันเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมทั้งปวง
ผู้เขียน เป็นศิษย์หน้าโง่ของท่านอาจารย์พุทธทาสอย่างเต็มภูมิ ตอนนั้นเชื่อสนิทว่า เมื่อตายแล้วก็สูญ พระไตรปิฎกตัดทิ้งเสียบ้างก็ได้ พระพุทธรูปก็ไม่ต้องไหว้ เพราะเป็นก้อนอิฐและทองเหลือง ตอนไปบวชที่วัดชลประทานก็ได้รับคำสอนว่า ให้รู้จักถือศีลอย่างฉลาด กิเลสก็เลยพาฉลาดแกมโกงไปเลย เช่นฉันข้าวจนเกือบๆ จะเที่ยง เพราะไม่ถือมั่นในสิ่งทั้งปวง
ขนาดรู้เห็นภพภูมิต่างๆ มาตั้งแต่เด็ก แต่พอเป็นวัยรุ่นที่ร้อนแรงเข้า กลับเชื่อลัทธิวัตถุนิยมเต็มหัวใจ ความน่ากลัวของสังสารวัฏนั้น มันน่ากลัวขนาดนี้ทีเดียวครับ คืออาจจะหลงผิดเมื่อไรก็ได้ แล้วแต่ความคิดปรุงแต่งจะพาไป
บุญที่ผู้เขียนได้พบท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ (_/I_) ท่านได้กรุณาชี้แจงให้ฟังว่า ผู้เขียนกำลังหลงผิดด้วยอุทเฉททิฏฐิ (คือเชื่อว่าตายแล้วขาดสูญ) ผู้เขียนจึงเริ่มเฉลียวใจ หันมาศึกษาพระไตรปิฎกอย่างจริงจัง ด้วยจิตใจที่เปิดกว้างกว่าเดิม แทนที่จะเชื่อตามๆ ที่ได้รับคำบอกเล่ามา ตั้งใจอ่านพระไตรปิฎกจนจบ ส่วนใดสงสัยก็กราบเรียนถามท่านอาจารย์สุชีพฯ เรื่อยมา
เมื่อได้ครูบาอาจารย์ทางปฏิบัติอย่างหลวงปู่ดูลย์ และหลวงปู่เทสก์ และปฏิบัติอย่างจริงจังจนเข้าใจจิตตนเองอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ผู้เขียนจึงทราบว่า ชาติก่อนและชาติหน้ามีจริง แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจมาแต่เดิมว่า พอร่างกายแตกดับ จิตก็ออกจากร่างไปเกิดใหม่ ซึ่งทัศนะนั้นเกิดจากความเห็นผิดว่าจิตเป็นอัตตา
เหตุผล ที่ทำให้ผู้เขียนเชื่ออย่างหมดใจก็คือ เมื่อผู้เขียนมีสติระลึกรู้ลงในกายในจิตของตนเอง ผู้เขียนเห็นสันตติ คือเกิดดับสืบเนื่องกันตลอดเวลาของรูปและนาม เหมือนสายน้ำที่ไหลผ่านมาอย่างไม่ขาดสาย ส่วนที่ดับไปแล้วก็เป็นอดีต หาประโยชน์อะไรไม่ได้ ส่วนที่ยังมาไม่ถึง แต่มีเหตุปัจจัยอยู่ มันก็จะต้องมาถึงในอนาคต จะห้ามไม่ให้มันเกิดขึ้นก็ไม่ได้ ส่วนปัจจุบันเองก็สั้นจนหาระยะเวลาไม่ได้ แม้จะมีอยู่ ก็เหมือนไม่มีอยู่ เพราะจับต้องอะไรไม่ได้เลย เพียงแต่ปรากฏแล้วก็ผ่านไป ๆ เท่านั้น ความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลาย จึงเป็นไปด้วยอำนาจของสัญญาและสังขาร คือตามหลงสิ่งที่เป็นอดีตไปแล้วบ้าง เพ้อเจ้อไปถึงสิ่งที่เป็นอนาคตบ้าง ส่วนปัจจุบันจริงๆ เหมือนความกว้างของเส้นๆ หนึ่ง คือไม่มีความกว้างพอที่สิ่งใดจะตั้งลงได้ เว้นแต่มหาสติเท่านั้น ที่จะหยั่งลงในปัจจุบันได้
ผู้เขียนเป็นคนมีความจำดี เรื่องที่ผ่านมาแล้วบางเรื่อง ที่เป็นอารมณ์อันรุนแรงประทับใจ ก็ยังจำได้แม้วันเวลาจะผ่านไปนานนักหนาแล้ว สิ่งนี้เป็นเครื่องมือเฉพาะตัว ที่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าชาติก่อนมีอยู่ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ให้ผู้อื่นเห็นตามได้ ผู้เขียนจึงไม่เคยเปิดเผยมาก่อน นอกจากกับคนใกล้ชิดจริงๆ เท่านั้น ไม่เหมือนการตามรู้วาระจิตผู้อื่น ซึ่งผู้ถูกรู้สามารถเป็นพยานให้กับผู้เขียนได้ แต่เนื่องจากในลานธรรมแห่งนี้มีแต่กัลยาณมิตร ปรึกษากับคุณดังตฤณแล้ว ก็เห็นว่าน่าจะพูดกันได้บ้าง
ผู้เขียนจึงขอยกตัวอย่างเล็กน้อย เพียง 3 ชาติสุดท้ายนี้ ในช่วงประมาณสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ผู้เขียนบวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ริมแม่น้ำใกล้จังหวัดนนทบุรี จิตใจในชาตินั้นท้อแท้ต่อการค้นหาสัจจธรรมอย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าจะหันหน้าไปทางใด ก็มีแต่ผู้ไม่รู้เหมือนๆ กัน ความทอดอาลัยนั้น ทำให้กลายเป็นพระขี้เกียจ วันหนึ่งๆ เอาแต่นั่งเหม่ออยู่ที่ศาลาท่าน้ำบ้าง ดูพระอื่นแกะสลักไม้ทำช่อฟ้าและหน้าบันบ้าง
ในชาตินั้นผู้เขียนอายุ สั้น ด้วยผลกรรมในอดีตห่างไกลมาแล้ว จึงเป็นลมตกน้ำตายตั้งแต่ยังหนุ่ม และเพราะอกุศลกรรมที่สั่งสมในการปล่อยจิตหลงเหม่อไปเนืองๆ ประกอบกับที่เป็นพระขี้เกียจ ฉันข้าวของชาวบ้านโดยไม่ทำประโยชน์ใดๆ ผู้เขียนจึงพลาดลงสู่อบายภูมิ ไปเกิดเป็นวัวของชาวบ้านข้างวัดนั้นเอง และถูกนำตัวมาถวายวัด กลับมาอยู่ในวัดเดิมในฐานะใหม่
เมื่อสิ้น อายุขัยลง ผู้เขียนได้ตามครูบาอาจารย์ไปเกิดทางตอนใต้ของจีน แซ่ฉั่ว ชื่อเอ็ง ต่อมาได้บวชเป็นเณรในวัดเซ็นอยู่บนเขาเตี้ยๆ ลูกหนึ่ง ผู้เขียนก็หัดดูจิตอยู่เสมอๆ ตอนเป็นหนุ่มขึ้นมาเกิดไปหลงรักสาวซึ่งถวายดอกลิลลี่มาให้ ประกอบกับทางบ้านไม่มีผู้สืบตระกูล จึงลาสิกขากลับมาทำนา เรื่องนี้ชาวบ้านไม่ค่อยชอบใจอยู่แล้ว เพราะพระจีนนั้นเมื่อบวชแล้วมักนิยมบวชเลย นอกจากนี้ ผู้เขียนยังทำตัวไม่เหมือนชาวบ้านทั้งหลาย ซึ่งนอกจากจะทำนาแล้ว เพื่อนบ้านยังเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ และจับปลา ส่วนผู้เขียนสมาทานมั่นในศีลสิกขา แม้จะอดอยากเพียงใดก็ไม่ยอมฆ่าสัตว์ ชีวิตความเป็นอยู่จึงแร้นแค้นกว่าคนอื่นๆ และเป็นที่ดูถูกเหยียดหยามของชาวบ้านทั่วไป ว่าเป็นคนไม่รู้จักทำมาหากิน กระทั่งพวกเด็กๆ เมื่อเจอผู้เขียน ก็ร้องเป็นเพลงเล่นว่า ฉั่วเอ็งเป็นคนประสาท ฉั่วเอ็งเป็นคนอ่อนแอ ผู้เขียนถือมั่นในศีลอยู่ท่ามกลางแรงกดดันนั้นด้วยความอดทนอย่างยิ่ง
ต่อ มาเกิดฝนแล้งต่อกัน 2 - 3 ปี คราวนี้ทั้งหมู่บ้านเผชิญกับความอดอยากอย่างยิ่ง กระทั่งคนที่เคยจับปลาก็ไม่มีปลาให้จับ ถึงตอนนั้นชาวบ้านทั้งหมู่บ้านจำต้องทิ้งถิ่นเข้าไปหางานทำในเมือง ผู้เขียนและครอบครัวก็ไปกับเขาด้วย และไปพบการเกิดจราจลในเมือง พลอยถูกลูกหลงตายไปด้วย
ในบรรดาศิษย์ของหลวงปู่ดูลย์นั้น มีพระที่ทรงอภิญญาเลื่องชื่ออยู่หลายองค์ เช่นหลวงปู่ฝั้น อาจาโร และเจ้าคุณโชติ แห่งวัดวชิราลงกรณ์ ส่วนในบรรดาศิษย์รุ่นหลัง ที่จะหาผู้ทรงอภิญญาเสมอด้วยหลวงพ่อกิม ทีปธัมโม แห่งวัดป่าดงคู ผู้เขียนยังไม่เคยพบเลย
หลวงพ่อกิมสนิทกับผู้เขียนมาก แต่ท่านก็ไม่ค่อยยอมเล่าเรื่องแปลกๆ ให้ผู้เขียนฟังอย่างเปิดเผย เพราะติดด้วยพระธรรมวินัย แต่ถ้าแสดงธรรมอยู่แล้วพาดพิงไปถึง ท่านก็จะยอมเล่าให้ฟัง
เคยถามท่านว่า อะไรเป็นเหตุให้ท่านเบื่อหน่ายในสังสารวัฏ ท่านตอบว่า ท่านเห็นทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด บางชาติเกิดเป็นท้าวพระยามหากษัตริย์ บางชาติตกนรกหมกไหม้ หรือมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน มีชาติหนึ่งเกิดเป็นวัว เจ้าของเอาไปผูกกับหลักไม้ไว้กลางนาตั้งแต่เช้า แล้วเขาไปทำธุระโดยคิดว่าไม่นานจะกลับมา ปรากฏว่าเขาติดธุระจนเย็นจึงกลับมาพาท่านกลับบ้าน ท่านบอกว่าวันนั้นแดดร้อนจัด ท่านกระหายน้ำทรมานมาก พอเห็นคนเดินผ่านไปมา ก็นึกดีใจว่าเขาคงเอาน้ำมาให้ดื่มบ้าง แต่คนกลับกลัววัวที่ดิ้นไปดิ้นมา ไม่กล้าเข้าใกล้ จนเย็นเจ้าของจึงมาพากลับเข้าคอก
หลังจากท่านทิ้ง ขันธ์แล้ว พระอุปัฏฐากท่านจึงเล่าเรื่องอันหนึ่งให้ฟังว่า หลวงพ่อกิม ท่านบอกว่าเมื่อชาติก่อนหลวงปู่ดูลย์ และหลวงพ่อกิมเป็นพระจีน ในชาตินี้มาเกิดที่เมืองไทย และมีศิษย์ในยุคนั้นตามมาอีก 10 คน ขณะที่ท่านเล่านั้น เป็นพระ 3 รูป อุบาสก 3 คน และอุบาสิกา 4 คน
สังสารวัฏ นี้ยาวนานนัก ไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลาย พระผู้มีพระภาคจึงทรงกล่าวว่า คนที่มาพบกันนั้น ที่จะไม่เคยเป็นพ่อแม่พี่น้องกันมา หาได้ยากนัก
จาก การที่ผมจำอดีตได้ยาวไกลมาก จึงได้ข้อสรุปมาอย่างหนึ่งว่า นิสัยของคนเรานั้น หมื่นปี ก็ยังแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย เว้นแต่จะตั้งอกตั้งใจพัฒนาตนเองอย่างจริงจัง จึงจะพัฒนาไปในทางที่ดีได้
คน ที่เคยขี้เกียจมาอย่างไร ก็มักจะขี้เกียจอย่างนั้น แล้วก็จะขี้เกียจต่อไปอีก คนที่ชอบศึกษาปริยัติธรรม ก็จะชอบศึกษาปริยัติธรรม แล้วชาติหน้าก็จะชอบอย่างนั้นอีก
สิ่งเดียว ที่จะเปลี่ยนแปลงคนได้เร็วที่สุด คือการเจริญมหาสติปัฏฐาน แต่ถึงจะปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์แล้ว บรรดาวาสนาคือความเคยชินต่างๆ ก็ยังติดอยู่เหมือนเดิม
ชาติหน้ามีจริงหรือ
คราวนี้มากล่าว ถึงเรื่องชาติหน้า หรือเรื่องตายแล้วเกิดบ้าง ผู้เขียนเคยเห็นการตายและเกิดมาหลายคราวแล้ว ในที่นี้จะเล่าถึงการตายแล้วเกิดสัก 4 ราย
การตายแล้วเกิดนั้น ไม่ใช่ว่าพอร่างกายนี้แตกดับลง จิตดวงเดิมก็ออกจากร่างไปเกิดใหม่ เพราะจิตเองก็ตายและเกิดอยู่แล้วตลอดเวลา
เรื่อง นี้ผู้เขียนเคยนั่งดูพ่อแท้ๆ ถึงแก่กรรม ตอนนั้นพ่อป่วยหนักอยู่ที่ศิริราช ในขณะที่จะตายนั้น ต้องนอนหายใจด้วยการขยับไหล่ขึ้นลง เพราะกระบังลมไม่มีกำลังจะหายใจแล้ว ขณะนั้นมีเวทนาทางกายอย่างรุนแรง สลับกับการตกภวังค์เป็นระยะๆ ผู้เขียนก็เพียรแผ่เมตตาให้เรื่อยๆ ไป ถึงจุดหนึ่งจิตของพ่อเคลื่อนขึ้นจากภวังค์ แต่ไม่ได้ออกมาสู่โลกภายนอก เป็นสภาวะคล้ายๆ การฝันไปนั้นเอง จิตของผู้เขียนได้สร้างกายทิพย์ขึ้นในรูปของภิกษุ ส่วนจิตของพ่อก็สร้างกายทิพย์ขึ้นมาประนมมือไหว้พระลูกชาย ผู้เขียนก็เตือนให้พ่อระลึกถึงบุญที่เคยบวชลูกชายหลายคน จิตของพ่อก็เบิกบานอยู่ช่วงหนึ่งแล้วตกภวังค์ พอเคลื่อนจากภวังค์ จิตมีอาการหมุนอย่างรวดเร็ว ที่ว่าตายเป็นทุกข์นั้น จุติจิตหรือจิตที่เคลื่อนที่หมุนนี้ มันก็แสดงทุกข์ออกมาอย่างสาหัส ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับตัวเรานี้เหมือนลูกข่างที่หมุนติ้วๆ จนสลบเหมือด มันเป็นการหมุนอยู่กับที่ ไม่ได้เคลื่อนออกจากกายไปทางไหนเลย จากนั้นก็ตกภวังค์ขาดความเชื่อมโยงกับกาย ขณะเดียวกันก็มีจิตอีกดวงหนึ่ง หมุนขึ้นมาในภพใหม่ แสดงความทุกข์ของการเกิด แล้วตกภวังค์อีกทีหนึ่ง พอจิตถอนขึ้นจากภวังค์ คราวนี้ความปรากฏแห่งอายตนะที่ยึดเป็นชีวิตใหม่ ก็เกิดขึ้นแล้วอย่างสมบูรณ์
จึงเห็นว่า จิตไม่ได้ออกจากร่างไปเกิด และทันทีที่ตาย ก็เกิดทันที มีภวังค์คั่นอยู่นิดเดียวเท่านั้น
อีกราย หนึ่งเป็นพ่อของเพื่อน แต่สนิทคุ้นเคยกันดี เพราะที่บ้านของเพื่อนคนนี้ สร้างกุฏิไว้ให้พระป่ามาพัก ในเวลาที่พ่อของเขาเจ็บหนักนั้น เขาได้นิมนต์ครูบาอาจารย์พระป่า 2 รูปไปแผ่เมตตาให้ ผู้เขียนก็ตามไปดูด้วย คนเจ็บนอนหลับๆ ตื่นๆ อยู่ แล้วก็ร้องโวยวายว่า นั่นมดดำเดินเต็มไปหมดเลย ลูกก็ร้องไห้กระซิกๆ บอกว่าพ่อเจอมดดำเดินแถวไม่ได้ จะเอานิ้วโป้งรูดฆ่าทั้งแถวด้วยความสนุกเสนอ ทั้งลูกและพระก็ช่วยกันเตือนสติ ว่าไม่มีมดดำ จิตของแกก็ตกภวังค์ลงอีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่จิตเคลื่อนออกจากภวังค์ มาอยู่ตรงที่เหมือนฝันนั้น แกนิมิตเห็นไก่บ้านตัวหนึ่ง พระทั้งสองรูปและผู้เขียนก็เร่งแผ่เมตตาให้มากขึ้น นิมิตไก่ก็ดับลง เกิดนิมิตของอสุรกาย แล้วจิตก็เคลื่อน พอตกภวังค์ลง ก็ไปเกิดเป็นอสุรกายทันที
บางคนไม่ทำกรรมดี แต่กะว่าตอนตายจะค่อยตั้งใจตายให้ดี โดยจะท่องนามพระอรหันต์บ้าง พุทโธบ้าง ขอเรียนว่า เป็นความคิดที่เหลวไหลสิ้นเชิง เพราะพอจะตายจริงๆ นั้น จิตจะเกิดนิมิตขึ้นเหมือนกับฝันไป สิ่งที่ตั้งใจท่องไว้นั้น จะลืมจนหมด แล้ววิบากก็จะแสดงนิมิตขึ้นมาให้จิตผูกพันเข้าสู่ภพใหม่ตามกรรมที่ให้ผล
ถ้า ควบคุมความฝันไม่ได้ ก็ควบคุมการเกิดข้ามภพข้ามชาติไม่ได้ รายพ่อของเพื่อนนั้น เมื่อเล่าให้เขาฟังว่าหวุดหวิดจะไปเป็นไก่ เขาก็สารภาพว่าพ่อนั้นตั้งแต่หนุ่มๆ ชอบดื่มเหล้า ตกเย็นจะมีเพื่อนมาชุมนุมที่บ้าน พ่อจะสั่งเชือดไก่เลี้ยงเพื่อนทุกวัน วันละตัว กรรมชั่วที่สะสมจนเคยชินเป็นเวลาหลายสิบปี จึงจะมารอให้ผล แต่อาศัยที่เคยทำบุญมาในช่วงปลายชีวิต ในขณะสุดท้ายนิมิตเกิดเปลี่ยนแปลงไป จึงรอดจากสัตว์เดียรัจฉาน ไปเกิดเป็นอสุรกาย เรียกว่าดีขึ้นขั้นหนึ่ง แต่ยังต่ำกว่าเปรต
หลังจากตายไม่นาน คืนหนึ่งลูกสาวนั่งภาวนาแล้วนึกถึงพ่อ ขอให้มารับส่วนบุญด้วยตนเอง ทันใดนั้น ทั้งบ้านก็เหม็นเน่าตลบไปหมด ทั้งลูกทั้งหลานกลัวกันลนลาน รีบกำหนดจิตบอกว่า ไม่ต้องมารับเองก็ได้ จะอธิษฐานจิตไปให้ วันนั้นพอดีมีพระเถระรูปหนึ่งมาพักในบ้าน พอรุ่งเช้าท่านก็บ่นขึ้นเองว่า ไม่น่าไปเรียกเขามาเลย
อีกรายหนึ่งเป็นสุนัขในบ้านของผู้เขียน เป็นหมาไทยธรรมดาไม่มีประวัติและดีกรี ผู้เขียนไปอุ้มมาจากจุฬาฯ เอามาเลี้ยงไว้ตั้งแต่เล็ก เขาเป็นสุนัขตัวเมียที่มีจิตใจงดงามมาก รู้จักให้ทาน ให้ลูกสุนัขอื่นๆ ดูดนมได้ เวลากินอาหาร จะให้แมวและสุนัขอื่นๆ กินก่อน ตัวอื่นอิ่มแล้วเขาจึงจะกินข้าว และแม้จะถูกสัตว์เล็กกว่ารังแก เขาก็จะเดินหนี ไม่ตอบโต้ทำร้าย ทั้งที่ทำได้ ในเวลาที่เขาตายนั้น เขานอนตาแป๋ว มีความรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง และไปสู่ภพภูมิที่สูงกว่าพ่อของผู้เขียนเสียอีก
คนไปเกิดเป็นสัตว์ สัตว์ไปเกิดเป็นเทวดา สังสารวัฏนี้เอาแน่นอนอะไรไม่ได้เลย แต่มีความเที่ยงธรรมอย่างที่สุด
ราย สุดท้ายเป็นยายห่างๆ ของผู้เขียน แกเป็นคนขี้โมโหโทโส แถมเป็นนักเข้าทรงหลวงพ่อทวด เป็นคนที่มีพลังจิตกล้าแข็งมาก แกตายแล้วไปเกิดเป็นอสรุกาย มีผีหลายตัวเป็นบริวาร ทั้งนี้โอปปาติกสัตว์นั้น เขานับถือกันตามพลังอำนาจและบุญวาสนา
ลูก หลานรู้สึกสงสารแก แต่ที่มากกว่าสงสารคือกลัวแก เพราะญาติบางคนเห็นแกในสภาพที่น่ากลัวมาก ผู้เขียนจึงเป็นต้นคิดจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ นอกเหนือจากการจัดงานศพตามประเพณี โดยนำผ้าไตรไปถวายหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ที่วัดหินหมากเป้ง เมื่อถวายทานแล้ว ก็กำหนดจิตอุทิศส่วนกุศลให้ พอกำหนดจิตถึง ภาพของแกก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตามีผู้เห็นถึง 3 คน ในภาพนั้นแกยังเป็นอสุรกาย แต่หน้าตาสดใสขึ้นบ้าง ในมืออุ้มผ้าไตรไว้อย่างงงๆ ว่าแกจะเอาไปทำอะไร ทั้งนี้เพราะแกเองไม่เคยทำบุญชนิดนี้ เป็นเพียงบุญที่ผู้อื่นอุทิศให้ จึงขาดความประทับใจเท่าที่ควร
รุ่งเช้าถวายอาหารต่อพระทั้งวัดโดยนำ เงินไปทำบุญที่โรงครัว ให้เขาจัดการให้ แต่ทำบุญแล้วลืมอุทิศส่วนกุศลให้ ตกเย็นก็นั่งรถสองแถวที่จ้างไว้ออกจากวัด สิ่งที่พากันเห็นนั้นน่ากลัวมาก คืออสรุกายยายพร้อมทั้งบริวารพากันติดตามมาจากวัด ตอนขึ้นรถไฟที่หนองคาย ขณะที่รถวิ่งลงมาทางจังหวัดอุดรธานี อสุรกายก็มาโผล่หน้าใหญ่เต็มหน้าต่างรถไฟ เล่นเอาสะดุ้งไปตามๆ กัน ผู้เขียนนึกได้ว่ายังไม่ได้อุทิศส่วนกุศลให้ จึงกำหนดจิตบอกยายว่า เมื่อเช้านี้ได้ทำทานถวายอาหารพระทั้งวัด เพื่ออุทิศให้กับเขา เมื่อบอกกล่าวถึงตอนนี้ อสุรกายก็ระลึกได้ว่า เมื่อสมัยยังสาวนั้น เขาชอบนำอาหารใส่ปิ่นโตไปถวายพระ ภาพพระนั่งฉันอาหารเต็มศาลาก็ปรากฏทางมโนทวารของเขา จิตในขณะนั้นเกิดความร่าเริงเบิกบานในบุญที่ตนเองเคยสร้างไว้ จิตก็เคลิ้มลงเรื่อยๆ ขณะนั้นเกิดกลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นจากเท้าของเขา แผ่ขยายจนคลุมตัวไว้ทั้งหมด พอจิตตกภวังค์ดับวับลง กายอสุรกายก็สลายหายไป เกิดรูปเทพธิดารูปหนึ่งลอยทะลุกลุ่มควันสีขาวนั้นขึ้นไป
ความตายของ โอปปาติกะนั้น เมื่อจิตจับนิมิตใหม่และดับลง รูปโอปปาติกะก็ดับลงด้วย แล้วจิตดวงใหม่ในภพใหม่ก็เกิดขึ้น แต่ผู้เขียนดูไม่ทันว่า รูปในภพใหม่เกิดก่อน หรือจิตเกิดก่อน
สัตว์ในภพอสุรกาย และภพอื่นๆ จะไม่รับส่วนบุญของผู้อื่น อย่างมากก็เพียงอนุโมทนาบุญ มีเพียงเปรตบางอย่างที่เป็นภพใกล้คนที่สุด จึงจะรับส่วนบุญจากผู้อื่นได้ กรณีที่เล่ามานี้ อสุรกายเพียงแต่อนุโมทนาบุญ และระลึกได้ถึงบุญของตนเอง
อนึ่ง ธรรมดาสัตว์ตระกูลโอปปาติกะทั้งหลายนั้นมักจะอายุยืน หากไม่มีบุญของตนเองเป็นที่พึ่งอาศัย ก็จะอยู่ด้วยความยากลำบาก เพราะจนลูกหลานเหลนตายหมดแล้ว สัตว์พวกนี้ก็ยังมักจะมีชีวิตอยู่ ดังนั้น ถ้ามีโอกาสทำบุญ ก็ควรจะทำไว้ เพื่อเป็นที่พึ่งอาศัยในการท่องสังสารวัฏต่อไป
(16 มิถุนายน 2542)
บทความนี้เป็นของ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช สมัยยังเป็นฆราวาส ซึ่งหาอ่านได้ยากมาก ขนาดผมเป็นลูกศิษหลวงพ่อมาจะ2ปีแล้วยังไม่เคยเห็นบทความนี้เลย อ่านแล้วรู้สึกจิตสังเวชในวัฏสงสารมาก จึงขออนุญาตินำมาโพสเป็นวิทยาทานนะที่นี้ด้วย
ในช่วงที่ผู้เขียน เรียนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น เป็นช่วงที่แนวความคิดของท่านอาจารย์พุทธทาส อินทปัญโญ มีอิทธิพลต่อนักศึกษาอย่างสูง หลักการสำคัญของแนวทางนี้ก็คือ ท่านเน้นที่การดับทุกข์ในปัจจุบัน ทำให้ลูกศิษย์ซึ่งฟังคำสอนอย่างไม่รอบคอบเข้าใจว่า ท่านอาจารย์ปฏิเสธเรื่องชาติก่อนและชาติหน้า คิดว่าท่านอาจารย์เชื่อว่าตายแล้วสูญ คิดว่าท่านอาจารย์เห็นว่า โอปปาติกสัตว์ เช่นเทวดาและพรหม ไม่มีจริง และทุกอย่างที่แปลกๆ จะถูกอธิบายด้วยเรื่องภาษาคน ภาษาธรรม เช่นอธิบายว่าสวรรค์คือจิตที่เป็นสุข นรกคือจิตที่เป็นทุกข์ อธิบายว่าพระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานในวันเดียวกัน หมายถึงว่าการตรัสรู้ คือการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า และกิเลสก็นิพพานจากพระทัยของท่านในขณะเดียวกัน เป็นต้น มีการตีความธรรมะออกไปอย่างกว้างขวางและสมเหตุสมผล รวมทั้งสอนกันเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมทั้งปวง
ผู้เขียน เป็นศิษย์หน้าโง่ของท่านอาจารย์พุทธทาสอย่างเต็มภูมิ ตอนนั้นเชื่อสนิทว่า เมื่อตายแล้วก็สูญ พระไตรปิฎกตัดทิ้งเสียบ้างก็ได้ พระพุทธรูปก็ไม่ต้องไหว้ เพราะเป็นก้อนอิฐและทองเหลือง ตอนไปบวชที่วัดชลประทานก็ได้รับคำสอนว่า ให้รู้จักถือศีลอย่างฉลาด กิเลสก็เลยพาฉลาดแกมโกงไปเลย เช่นฉันข้าวจนเกือบๆ จะเที่ยง เพราะไม่ถือมั่นในสิ่งทั้งปวง
ขนาดรู้เห็นภพภูมิต่างๆ มาตั้งแต่เด็ก แต่พอเป็นวัยรุ่นที่ร้อนแรงเข้า กลับเชื่อลัทธิวัตถุนิยมเต็มหัวใจ ความน่ากลัวของสังสารวัฏนั้น มันน่ากลัวขนาดนี้ทีเดียวครับ คืออาจจะหลงผิดเมื่อไรก็ได้ แล้วแต่ความคิดปรุงแต่งจะพาไป
บุญที่ผู้เขียนได้พบท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ (_/I_) ท่านได้กรุณาชี้แจงให้ฟังว่า ผู้เขียนกำลังหลงผิดด้วยอุทเฉททิฏฐิ (คือเชื่อว่าตายแล้วขาดสูญ) ผู้เขียนจึงเริ่มเฉลียวใจ หันมาศึกษาพระไตรปิฎกอย่างจริงจัง ด้วยจิตใจที่เปิดกว้างกว่าเดิม แทนที่จะเชื่อตามๆ ที่ได้รับคำบอกเล่ามา ตั้งใจอ่านพระไตรปิฎกจนจบ ส่วนใดสงสัยก็กราบเรียนถามท่านอาจารย์สุชีพฯ เรื่อยมา
เมื่อได้ครูบาอาจารย์ทางปฏิบัติอย่างหลวงปู่ดูลย์ และหลวงปู่เทสก์ และปฏิบัติอย่างจริงจังจนเข้าใจจิตตนเองอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ผู้เขียนจึงทราบว่า ชาติก่อนและชาติหน้ามีจริง แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจมาแต่เดิมว่า พอร่างกายแตกดับ จิตก็ออกจากร่างไปเกิดใหม่ ซึ่งทัศนะนั้นเกิดจากความเห็นผิดว่าจิตเป็นอัตตา
เหตุผล ที่ทำให้ผู้เขียนเชื่ออย่างหมดใจก็คือ เมื่อผู้เขียนมีสติระลึกรู้ลงในกายในจิตของตนเอง ผู้เขียนเห็นสันตติ คือเกิดดับสืบเนื่องกันตลอดเวลาของรูปและนาม เหมือนสายน้ำที่ไหลผ่านมาอย่างไม่ขาดสาย ส่วนที่ดับไปแล้วก็เป็นอดีต หาประโยชน์อะไรไม่ได้ ส่วนที่ยังมาไม่ถึง แต่มีเหตุปัจจัยอยู่ มันก็จะต้องมาถึงในอนาคต จะห้ามไม่ให้มันเกิดขึ้นก็ไม่ได้ ส่วนปัจจุบันเองก็สั้นจนหาระยะเวลาไม่ได้ แม้จะมีอยู่ ก็เหมือนไม่มีอยู่ เพราะจับต้องอะไรไม่ได้เลย เพียงแต่ปรากฏแล้วก็ผ่านไป ๆ เท่านั้น ความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลาย จึงเป็นไปด้วยอำนาจของสัญญาและสังขาร คือตามหลงสิ่งที่เป็นอดีตไปแล้วบ้าง เพ้อเจ้อไปถึงสิ่งที่เป็นอนาคตบ้าง ส่วนปัจจุบันจริงๆ เหมือนความกว้างของเส้นๆ หนึ่ง คือไม่มีความกว้างพอที่สิ่งใดจะตั้งลงได้ เว้นแต่มหาสติเท่านั้น ที่จะหยั่งลงในปัจจุบันได้
ผู้เขียนเป็นคนมีความจำดี เรื่องที่ผ่านมาแล้วบางเรื่อง ที่เป็นอารมณ์อันรุนแรงประทับใจ ก็ยังจำได้แม้วันเวลาจะผ่านไปนานนักหนาแล้ว สิ่งนี้เป็นเครื่องมือเฉพาะตัว ที่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าชาติก่อนมีอยู่ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ให้ผู้อื่นเห็นตามได้ ผู้เขียนจึงไม่เคยเปิดเผยมาก่อน นอกจากกับคนใกล้ชิดจริงๆ เท่านั้น ไม่เหมือนการตามรู้วาระจิตผู้อื่น ซึ่งผู้ถูกรู้สามารถเป็นพยานให้กับผู้เขียนได้ แต่เนื่องจากในลานธรรมแห่งนี้มีแต่กัลยาณมิตร ปรึกษากับคุณดังตฤณแล้ว ก็เห็นว่าน่าจะพูดกันได้บ้าง
ผู้เขียนจึงขอยกตัวอย่างเล็กน้อย เพียง 3 ชาติสุดท้ายนี้ ในช่วงประมาณสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ผู้เขียนบวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ริมแม่น้ำใกล้จังหวัดนนทบุรี จิตใจในชาตินั้นท้อแท้ต่อการค้นหาสัจจธรรมอย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าจะหันหน้าไปทางใด ก็มีแต่ผู้ไม่รู้เหมือนๆ กัน ความทอดอาลัยนั้น ทำให้กลายเป็นพระขี้เกียจ วันหนึ่งๆ เอาแต่นั่งเหม่ออยู่ที่ศาลาท่าน้ำบ้าง ดูพระอื่นแกะสลักไม้ทำช่อฟ้าและหน้าบันบ้าง
ในชาตินั้นผู้เขียนอายุ สั้น ด้วยผลกรรมในอดีตห่างไกลมาแล้ว จึงเป็นลมตกน้ำตายตั้งแต่ยังหนุ่ม และเพราะอกุศลกรรมที่สั่งสมในการปล่อยจิตหลงเหม่อไปเนืองๆ ประกอบกับที่เป็นพระขี้เกียจ ฉันข้าวของชาวบ้านโดยไม่ทำประโยชน์ใดๆ ผู้เขียนจึงพลาดลงสู่อบายภูมิ ไปเกิดเป็นวัวของชาวบ้านข้างวัดนั้นเอง และถูกนำตัวมาถวายวัด กลับมาอยู่ในวัดเดิมในฐานะใหม่
เมื่อสิ้น อายุขัยลง ผู้เขียนได้ตามครูบาอาจารย์ไปเกิดทางตอนใต้ของจีน แซ่ฉั่ว ชื่อเอ็ง ต่อมาได้บวชเป็นเณรในวัดเซ็นอยู่บนเขาเตี้ยๆ ลูกหนึ่ง ผู้เขียนก็หัดดูจิตอยู่เสมอๆ ตอนเป็นหนุ่มขึ้นมาเกิดไปหลงรักสาวซึ่งถวายดอกลิลลี่มาให้ ประกอบกับทางบ้านไม่มีผู้สืบตระกูล จึงลาสิกขากลับมาทำนา เรื่องนี้ชาวบ้านไม่ค่อยชอบใจอยู่แล้ว เพราะพระจีนนั้นเมื่อบวชแล้วมักนิยมบวชเลย นอกจากนี้ ผู้เขียนยังทำตัวไม่เหมือนชาวบ้านทั้งหลาย ซึ่งนอกจากจะทำนาแล้ว เพื่อนบ้านยังเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ และจับปลา ส่วนผู้เขียนสมาทานมั่นในศีลสิกขา แม้จะอดอยากเพียงใดก็ไม่ยอมฆ่าสัตว์ ชีวิตความเป็นอยู่จึงแร้นแค้นกว่าคนอื่นๆ และเป็นที่ดูถูกเหยียดหยามของชาวบ้านทั่วไป ว่าเป็นคนไม่รู้จักทำมาหากิน กระทั่งพวกเด็กๆ เมื่อเจอผู้เขียน ก็ร้องเป็นเพลงเล่นว่า ฉั่วเอ็งเป็นคนประสาท ฉั่วเอ็งเป็นคนอ่อนแอ ผู้เขียนถือมั่นในศีลอยู่ท่ามกลางแรงกดดันนั้นด้วยความอดทนอย่างยิ่ง
ต่อ มาเกิดฝนแล้งต่อกัน 2 - 3 ปี คราวนี้ทั้งหมู่บ้านเผชิญกับความอดอยากอย่างยิ่ง กระทั่งคนที่เคยจับปลาก็ไม่มีปลาให้จับ ถึงตอนนั้นชาวบ้านทั้งหมู่บ้านจำต้องทิ้งถิ่นเข้าไปหางานทำในเมือง ผู้เขียนและครอบครัวก็ไปกับเขาด้วย และไปพบการเกิดจราจลในเมือง พลอยถูกลูกหลงตายไปด้วย
ในบรรดาศิษย์ของหลวงปู่ดูลย์นั้น มีพระที่ทรงอภิญญาเลื่องชื่ออยู่หลายองค์ เช่นหลวงปู่ฝั้น อาจาโร และเจ้าคุณโชติ แห่งวัดวชิราลงกรณ์ ส่วนในบรรดาศิษย์รุ่นหลัง ที่จะหาผู้ทรงอภิญญาเสมอด้วยหลวงพ่อกิม ทีปธัมโม แห่งวัดป่าดงคู ผู้เขียนยังไม่เคยพบเลย
หลวงพ่อกิมสนิทกับผู้เขียนมาก แต่ท่านก็ไม่ค่อยยอมเล่าเรื่องแปลกๆ ให้ผู้เขียนฟังอย่างเปิดเผย เพราะติดด้วยพระธรรมวินัย แต่ถ้าแสดงธรรมอยู่แล้วพาดพิงไปถึง ท่านก็จะยอมเล่าให้ฟัง
เคยถามท่านว่า อะไรเป็นเหตุให้ท่านเบื่อหน่ายในสังสารวัฏ ท่านตอบว่า ท่านเห็นทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด บางชาติเกิดเป็นท้าวพระยามหากษัตริย์ บางชาติตกนรกหมกไหม้ หรือมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน มีชาติหนึ่งเกิดเป็นวัว เจ้าของเอาไปผูกกับหลักไม้ไว้กลางนาตั้งแต่เช้า แล้วเขาไปทำธุระโดยคิดว่าไม่นานจะกลับมา ปรากฏว่าเขาติดธุระจนเย็นจึงกลับมาพาท่านกลับบ้าน ท่านบอกว่าวันนั้นแดดร้อนจัด ท่านกระหายน้ำทรมานมาก พอเห็นคนเดินผ่านไปมา ก็นึกดีใจว่าเขาคงเอาน้ำมาให้ดื่มบ้าง แต่คนกลับกลัววัวที่ดิ้นไปดิ้นมา ไม่กล้าเข้าใกล้ จนเย็นเจ้าของจึงมาพากลับเข้าคอก
หลังจากท่านทิ้ง ขันธ์แล้ว พระอุปัฏฐากท่านจึงเล่าเรื่องอันหนึ่งให้ฟังว่า หลวงพ่อกิม ท่านบอกว่าเมื่อชาติก่อนหลวงปู่ดูลย์ และหลวงพ่อกิมเป็นพระจีน ในชาตินี้มาเกิดที่เมืองไทย และมีศิษย์ในยุคนั้นตามมาอีก 10 คน ขณะที่ท่านเล่านั้น เป็นพระ 3 รูป อุบาสก 3 คน และอุบาสิกา 4 คน
สังสารวัฏ นี้ยาวนานนัก ไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลาย พระผู้มีพระภาคจึงทรงกล่าวว่า คนที่มาพบกันนั้น ที่จะไม่เคยเป็นพ่อแม่พี่น้องกันมา หาได้ยากนัก
จาก การที่ผมจำอดีตได้ยาวไกลมาก จึงได้ข้อสรุปมาอย่างหนึ่งว่า นิสัยของคนเรานั้น หมื่นปี ก็ยังแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย เว้นแต่จะตั้งอกตั้งใจพัฒนาตนเองอย่างจริงจัง จึงจะพัฒนาไปในทางที่ดีได้
คน ที่เคยขี้เกียจมาอย่างไร ก็มักจะขี้เกียจอย่างนั้น แล้วก็จะขี้เกียจต่อไปอีก คนที่ชอบศึกษาปริยัติธรรม ก็จะชอบศึกษาปริยัติธรรม แล้วชาติหน้าก็จะชอบอย่างนั้นอีก
สิ่งเดียว ที่จะเปลี่ยนแปลงคนได้เร็วที่สุด คือการเจริญมหาสติปัฏฐาน แต่ถึงจะปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์แล้ว บรรดาวาสนาคือความเคยชินต่างๆ ก็ยังติดอยู่เหมือนเดิม
ชาติหน้ามีจริงหรือ
คราวนี้มากล่าว ถึงเรื่องชาติหน้า หรือเรื่องตายแล้วเกิดบ้าง ผู้เขียนเคยเห็นการตายและเกิดมาหลายคราวแล้ว ในที่นี้จะเล่าถึงการตายแล้วเกิดสัก 4 ราย
การตายแล้วเกิดนั้น ไม่ใช่ว่าพอร่างกายนี้แตกดับลง จิตดวงเดิมก็ออกจากร่างไปเกิดใหม่ เพราะจิตเองก็ตายและเกิดอยู่แล้วตลอดเวลา
เรื่อง นี้ผู้เขียนเคยนั่งดูพ่อแท้ๆ ถึงแก่กรรม ตอนนั้นพ่อป่วยหนักอยู่ที่ศิริราช ในขณะที่จะตายนั้น ต้องนอนหายใจด้วยการขยับไหล่ขึ้นลง เพราะกระบังลมไม่มีกำลังจะหายใจแล้ว ขณะนั้นมีเวทนาทางกายอย่างรุนแรง สลับกับการตกภวังค์เป็นระยะๆ ผู้เขียนก็เพียรแผ่เมตตาให้เรื่อยๆ ไป ถึงจุดหนึ่งจิตของพ่อเคลื่อนขึ้นจากภวังค์ แต่ไม่ได้ออกมาสู่โลกภายนอก เป็นสภาวะคล้ายๆ การฝันไปนั้นเอง จิตของผู้เขียนได้สร้างกายทิพย์ขึ้นในรูปของภิกษุ ส่วนจิตของพ่อก็สร้างกายทิพย์ขึ้นมาประนมมือไหว้พระลูกชาย ผู้เขียนก็เตือนให้พ่อระลึกถึงบุญที่เคยบวชลูกชายหลายคน จิตของพ่อก็เบิกบานอยู่ช่วงหนึ่งแล้วตกภวังค์ พอเคลื่อนจากภวังค์ จิตมีอาการหมุนอย่างรวดเร็ว ที่ว่าตายเป็นทุกข์นั้น จุติจิตหรือจิตที่เคลื่อนที่หมุนนี้ มันก็แสดงทุกข์ออกมาอย่างสาหัส ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับตัวเรานี้เหมือนลูกข่างที่หมุนติ้วๆ จนสลบเหมือด มันเป็นการหมุนอยู่กับที่ ไม่ได้เคลื่อนออกจากกายไปทางไหนเลย จากนั้นก็ตกภวังค์ขาดความเชื่อมโยงกับกาย ขณะเดียวกันก็มีจิตอีกดวงหนึ่ง หมุนขึ้นมาในภพใหม่ แสดงความทุกข์ของการเกิด แล้วตกภวังค์อีกทีหนึ่ง พอจิตถอนขึ้นจากภวังค์ คราวนี้ความปรากฏแห่งอายตนะที่ยึดเป็นชีวิตใหม่ ก็เกิดขึ้นแล้วอย่างสมบูรณ์
จึงเห็นว่า จิตไม่ได้ออกจากร่างไปเกิด และทันทีที่ตาย ก็เกิดทันที มีภวังค์คั่นอยู่นิดเดียวเท่านั้น
อีกราย หนึ่งเป็นพ่อของเพื่อน แต่สนิทคุ้นเคยกันดี เพราะที่บ้านของเพื่อนคนนี้ สร้างกุฏิไว้ให้พระป่ามาพัก ในเวลาที่พ่อของเขาเจ็บหนักนั้น เขาได้นิมนต์ครูบาอาจารย์พระป่า 2 รูปไปแผ่เมตตาให้ ผู้เขียนก็ตามไปดูด้วย คนเจ็บนอนหลับๆ ตื่นๆ อยู่ แล้วก็ร้องโวยวายว่า นั่นมดดำเดินเต็มไปหมดเลย ลูกก็ร้องไห้กระซิกๆ บอกว่าพ่อเจอมดดำเดินแถวไม่ได้ จะเอานิ้วโป้งรูดฆ่าทั้งแถวด้วยความสนุกเสนอ ทั้งลูกและพระก็ช่วยกันเตือนสติ ว่าไม่มีมดดำ จิตของแกก็ตกภวังค์ลงอีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่จิตเคลื่อนออกจากภวังค์ มาอยู่ตรงที่เหมือนฝันนั้น แกนิมิตเห็นไก่บ้านตัวหนึ่ง พระทั้งสองรูปและผู้เขียนก็เร่งแผ่เมตตาให้มากขึ้น นิมิตไก่ก็ดับลง เกิดนิมิตของอสุรกาย แล้วจิตก็เคลื่อน พอตกภวังค์ลง ก็ไปเกิดเป็นอสุรกายทันที
บางคนไม่ทำกรรมดี แต่กะว่าตอนตายจะค่อยตั้งใจตายให้ดี โดยจะท่องนามพระอรหันต์บ้าง พุทโธบ้าง ขอเรียนว่า เป็นความคิดที่เหลวไหลสิ้นเชิง เพราะพอจะตายจริงๆ นั้น จิตจะเกิดนิมิตขึ้นเหมือนกับฝันไป สิ่งที่ตั้งใจท่องไว้นั้น จะลืมจนหมด แล้ววิบากก็จะแสดงนิมิตขึ้นมาให้จิตผูกพันเข้าสู่ภพใหม่ตามกรรมที่ให้ผล
ถ้า ควบคุมความฝันไม่ได้ ก็ควบคุมการเกิดข้ามภพข้ามชาติไม่ได้ รายพ่อของเพื่อนนั้น เมื่อเล่าให้เขาฟังว่าหวุดหวิดจะไปเป็นไก่ เขาก็สารภาพว่าพ่อนั้นตั้งแต่หนุ่มๆ ชอบดื่มเหล้า ตกเย็นจะมีเพื่อนมาชุมนุมที่บ้าน พ่อจะสั่งเชือดไก่เลี้ยงเพื่อนทุกวัน วันละตัว กรรมชั่วที่สะสมจนเคยชินเป็นเวลาหลายสิบปี จึงจะมารอให้ผล แต่อาศัยที่เคยทำบุญมาในช่วงปลายชีวิต ในขณะสุดท้ายนิมิตเกิดเปลี่ยนแปลงไป จึงรอดจากสัตว์เดียรัจฉาน ไปเกิดเป็นอสุรกาย เรียกว่าดีขึ้นขั้นหนึ่ง แต่ยังต่ำกว่าเปรต
หลังจากตายไม่นาน คืนหนึ่งลูกสาวนั่งภาวนาแล้วนึกถึงพ่อ ขอให้มารับส่วนบุญด้วยตนเอง ทันใดนั้น ทั้งบ้านก็เหม็นเน่าตลบไปหมด ทั้งลูกทั้งหลานกลัวกันลนลาน รีบกำหนดจิตบอกว่า ไม่ต้องมารับเองก็ได้ จะอธิษฐานจิตไปให้ วันนั้นพอดีมีพระเถระรูปหนึ่งมาพักในบ้าน พอรุ่งเช้าท่านก็บ่นขึ้นเองว่า ไม่น่าไปเรียกเขามาเลย
อีกรายหนึ่งเป็นสุนัขในบ้านของผู้เขียน เป็นหมาไทยธรรมดาไม่มีประวัติและดีกรี ผู้เขียนไปอุ้มมาจากจุฬาฯ เอามาเลี้ยงไว้ตั้งแต่เล็ก เขาเป็นสุนัขตัวเมียที่มีจิตใจงดงามมาก รู้จักให้ทาน ให้ลูกสุนัขอื่นๆ ดูดนมได้ เวลากินอาหาร จะให้แมวและสุนัขอื่นๆ กินก่อน ตัวอื่นอิ่มแล้วเขาจึงจะกินข้าว และแม้จะถูกสัตว์เล็กกว่ารังแก เขาก็จะเดินหนี ไม่ตอบโต้ทำร้าย ทั้งที่ทำได้ ในเวลาที่เขาตายนั้น เขานอนตาแป๋ว มีความรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง และไปสู่ภพภูมิที่สูงกว่าพ่อของผู้เขียนเสียอีก
คนไปเกิดเป็นสัตว์ สัตว์ไปเกิดเป็นเทวดา สังสารวัฏนี้เอาแน่นอนอะไรไม่ได้เลย แต่มีความเที่ยงธรรมอย่างที่สุด
ราย สุดท้ายเป็นยายห่างๆ ของผู้เขียน แกเป็นคนขี้โมโหโทโส แถมเป็นนักเข้าทรงหลวงพ่อทวด เป็นคนที่มีพลังจิตกล้าแข็งมาก แกตายแล้วไปเกิดเป็นอสรุกาย มีผีหลายตัวเป็นบริวาร ทั้งนี้โอปปาติกสัตว์นั้น เขานับถือกันตามพลังอำนาจและบุญวาสนา
ลูก หลานรู้สึกสงสารแก แต่ที่มากกว่าสงสารคือกลัวแก เพราะญาติบางคนเห็นแกในสภาพที่น่ากลัวมาก ผู้เขียนจึงเป็นต้นคิดจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ นอกเหนือจากการจัดงานศพตามประเพณี โดยนำผ้าไตรไปถวายหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ที่วัดหินหมากเป้ง เมื่อถวายทานแล้ว ก็กำหนดจิตอุทิศส่วนกุศลให้ พอกำหนดจิตถึง ภาพของแกก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตามีผู้เห็นถึง 3 คน ในภาพนั้นแกยังเป็นอสุรกาย แต่หน้าตาสดใสขึ้นบ้าง ในมืออุ้มผ้าไตรไว้อย่างงงๆ ว่าแกจะเอาไปทำอะไร ทั้งนี้เพราะแกเองไม่เคยทำบุญชนิดนี้ เป็นเพียงบุญที่ผู้อื่นอุทิศให้ จึงขาดความประทับใจเท่าที่ควร
รุ่งเช้าถวายอาหารต่อพระทั้งวัดโดยนำ เงินไปทำบุญที่โรงครัว ให้เขาจัดการให้ แต่ทำบุญแล้วลืมอุทิศส่วนกุศลให้ ตกเย็นก็นั่งรถสองแถวที่จ้างไว้ออกจากวัด สิ่งที่พากันเห็นนั้นน่ากลัวมาก คืออสรุกายยายพร้อมทั้งบริวารพากันติดตามมาจากวัด ตอนขึ้นรถไฟที่หนองคาย ขณะที่รถวิ่งลงมาทางจังหวัดอุดรธานี อสุรกายก็มาโผล่หน้าใหญ่เต็มหน้าต่างรถไฟ เล่นเอาสะดุ้งไปตามๆ กัน ผู้เขียนนึกได้ว่ายังไม่ได้อุทิศส่วนกุศลให้ จึงกำหนดจิตบอกยายว่า เมื่อเช้านี้ได้ทำทานถวายอาหารพระทั้งวัด เพื่ออุทิศให้กับเขา เมื่อบอกกล่าวถึงตอนนี้ อสุรกายก็ระลึกได้ว่า เมื่อสมัยยังสาวนั้น เขาชอบนำอาหารใส่ปิ่นโตไปถวายพระ ภาพพระนั่งฉันอาหารเต็มศาลาก็ปรากฏทางมโนทวารของเขา จิตในขณะนั้นเกิดความร่าเริงเบิกบานในบุญที่ตนเองเคยสร้างไว้ จิตก็เคลิ้มลงเรื่อยๆ ขณะนั้นเกิดกลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นจากเท้าของเขา แผ่ขยายจนคลุมตัวไว้ทั้งหมด พอจิตตกภวังค์ดับวับลง กายอสุรกายก็สลายหายไป เกิดรูปเทพธิดารูปหนึ่งลอยทะลุกลุ่มควันสีขาวนั้นขึ้นไป
ความตายของ โอปปาติกะนั้น เมื่อจิตจับนิมิตใหม่และดับลง รูปโอปปาติกะก็ดับลงด้วย แล้วจิตดวงใหม่ในภพใหม่ก็เกิดขึ้น แต่ผู้เขียนดูไม่ทันว่า รูปในภพใหม่เกิดก่อน หรือจิตเกิดก่อน
สัตว์ในภพอสุรกาย และภพอื่นๆ จะไม่รับส่วนบุญของผู้อื่น อย่างมากก็เพียงอนุโมทนาบุญ มีเพียงเปรตบางอย่างที่เป็นภพใกล้คนที่สุด จึงจะรับส่วนบุญจากผู้อื่นได้ กรณีที่เล่ามานี้ อสุรกายเพียงแต่อนุโมทนาบุญ และระลึกได้ถึงบุญของตนเอง
อนึ่ง ธรรมดาสัตว์ตระกูลโอปปาติกะทั้งหลายนั้นมักจะอายุยืน หากไม่มีบุญของตนเองเป็นที่พึ่งอาศัย ก็จะอยู่ด้วยความยากลำบาก เพราะจนลูกหลานเหลนตายหมดแล้ว สัตว์พวกนี้ก็ยังมักจะมีชีวิตอยู่ ดังนั้น ถ้ามีโอกาสทำบุญ ก็ควรจะทำไว้ เพื่อเป็นที่พึ่งอาศัยในการท่องสังสารวัฏต่อไป
(16 มิถุนายน 2542)
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)


